วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หลวงพ่อปากแดง วัดนากันตม



                      พระพุทธรูป ปางมารวิชัย ขัดราบ  สร้างด้วยโลหะน่าจะเป็นสัมฤทธิ์ (ถ้าผิดพลาดขออภัย) หน้าตัก ประมาณ 20 - 30 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปที่สร้าง และ ปลุกเสกโดย หลวงพ่อสังข์ วัดนากันตม



              สร้างปี พ.ศ. 2482 โดยหลวงพ่อสังข์ จารึกไว้ที่ฐานองค์พระชัดเจน

 

ศิลปะ  น่าจะเป็นสมัยล้านช้าง ประเทศลาว


                          สังเกตุ พระเกศ เป็นรูปคล้ายกลีบบัว หรือ ปลีกล้วย และ ใบหูมีลักษณะกลมรี เป็นรูปไข่สองวงซ้อนกันอยู่ และ มีติ่งหูเป็นแท่ง ตั้งดิ่งตรงลงมาที่บ่าทั้งสองข้าง เป็นศิลปะที่แปลกมาก ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน


                          ที่สำคัญที่สุดก็คือ ที่ปากหลวงพ่อมีสีแดงสด เหมือนมีผู้นำลิปสติกไปทาไว้อย่างนั้น ซึ่งผู้เฒ่าผู้แก่แถววัด บอกว่าหลวงพ่อ มีปากสีแดงตั้งแต่แรกที่ หลวงพ่อสังข์ สร้างแล้ว มิได้มีการนำสีแดงไปทาไว้ในภายหลังแต่อย่างใด


                          เห็นอย่างนี้แล้ว ทำให้นึกถึง หลวงพ่อปากแดง แห่งวัดพราหมณี ตำบลสาริกา อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก  ทางไปน้ำตกสาริกา อันโด่งดังขึ้นมาทันที



หลวงพ่อปากแดงนครนายก


ถ้าจะเรียกว่า หลวงพ่อปากแดง วัดนากันตม ก็คงจะไม่ผิด


                        พระพุทธรูปที่หลวงพ่อสังข์ สร้าง มี 2 องค์  ศิลปะ ลักษณะ และ หน้าตัก เท่ากัน นี่ เป็นองค์ที่ 2 ครับ และองค์นี้ ก็ปากแดงเช่นกัน



                          พระพุทธรูปทั้งสององค์ ชาวบ้านเคารพนับถือมาก ถือว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่หลวงพ่อสังข์ สร้างไว้ เป็นพระคู่วัดนากันตม ให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา ปกติ พระพุทธรูปทั้ง 2 องค์ นี้ จะเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย เจ้าอาวาส และ กรรมการวัดจะนำออกมาให้ประชาชน ได้กราบไหว้และสรงน้ำพระ  ในเทศกาลสงกรานต์ เพียงปีละครั้งเท่านั้นครับ องค์หลังจะนำใส่รถเข็น เข็นไปตามถนนในหมู่บ้านรอบ ๆ วัด ให้ประชาชนได้สรงน้ำอย่างใกล้ชิด สังเกตุให้ดีจะเห็นหลวงพ่อ ยังอยู่บนรถเข็นเลยครับ ส่วนองค์แรก จะตั้งไว้ที่โต๊ะหมู่บูชาให้ประชาชน ได้สรงน้ำพระที่วัดครับ เพื่อน ๆ ถ้ามีโอกาส อย่าลืม แวะไปสรงน้ำพระ เพื่อความเป็นสิริมงคล และ ขอพร หลวงพ่อปากแดง ทั้งสององค์ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นะครับ ชาวบ้านแถววัด เขากระซิบผู้เขียนว่า ศักดิ์สิทธิ์ มากครับ

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พญาช้าง ทรงเครื่อง


                       พญาช้างทรงเครื่อง เนื้อผงพุทธคุณ ผสมครั่ง และ ว่านยา 108 ชนิด ลงรักปิดทอง ขนาดบูชา ปั้นมือ ฝีมือการปั้น และ ปลุกเสก โดย  หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม



ฝีมือการปั้นชั้นครู ปั้นได้สวยงาม เหมือนจริงมาก



                               ส่วนที่เป็นงาก็ดูอ่อนช้อย


มองดูแล้วเหมือนมีชีวิตจริง ๆ


 

                     เครื่องทรงของช้างที่วางพาดอยู่บนหัว และ หลังช้าง ปั้นได้รายละเอียดครบ และ วางไว้อย่างลงตัวสวยงาม ส่วนที่คอช้าง พันด้วยด้ายสายสิญจน์เสก



               ใต้ท้องช้าง ประทับยันต์เฑาะว์ขัดสมาธิ หรือ เฑาะว์มหาพรหม ซึ่งเป็นยันต์ประจำตัวของหลวงพ่อสังข์ ตามสูตรเป๊ะ แถมฝังกริ่งอีกต่างหาก



บั้นท้ายก็ปั้นได้สวย



หน้าตรงก็ปั้นได้งาม



                       ด้านข้างก็ปั้นได้แจ่ม โดยเฉพาะใบหูทั้งสองข้าง ปั้นได้อย่างบอบบางและอ่อนช้อยอย่างนั้น หลวงพ่อปั้นผง ให้คงรูปอยู่ได้อย่างไร น่าทึ่งจริง ๆ สรุปแล้ว ปั้นได้สมบูรณ์แบบ จริง ๆ ครับ










                    ส่วนเรื่องพุทธคุณนั้น ช้างเป็นสัตว์ใหญ่ มีพลังอำนาจลึกลับในตัว เมื่อได้บูชาจะก่อให้เกิดความเป็นสวัสดิมงคลทั้งแก่บุคคลและสถานที่ เป็นนิมิตรหมายแห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่งรุ่งเรือง อันหาที่สุดมิได้ อีกทั้งช่วยเสริมบารมีของผู้ที่ได้ครอบครอง  ตลอดจนเด่นทางมหาอำนาจครับ

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ผ้ายันต์



                    ผ้ายันต์ พระพุทธนิมิตร หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม ออกปี พ.ศ.2520  ผมได้มาแบบว่า แกะออกจากกระจกมองหลังหน้ารถสิบล้อ ของพ่อค้าคหบดีชาวกันทรลักษ์ ท่านหนึ่งเลยทีเดียวครับ พ่อค้าท่านนี้  นับถือหลวงพ่อสังข์ มากเลยครับ มีรถสิบล้อไว้ขนหัวมันสัมปะหลังเป็น 10 คัน ไม่ว่าจะออกรถใหม่คันไหน ทั้งรถใหญ่ รถเล็ก จะต้องไปให้หลวงพ่อสังข์ เจิมรถให้ทุกคันครับ แกเล่าว่าเมื่อหลวงพ่อทำพิธีเจิมรถให้แล้ว จะต้องประพรมน้ำพระพุทธมนต์ และ สุดท้าย หลวงพ่อจะนำผ้ายันต์พันม้วนกลม ๆ ดังในภาพ แล้วมัดด้วยด้ายสายสิญจน์เสก ขึ้นไปนั่งบนรถแล้วมัดไว้ที่กระจกมองหลังรถทุกคัน จึงจะเป็นอันเสร็จพิธีครับ





                   สังเกตุความเก่าของผ้ายันต์ และ ด้ายสายสิญจน์ซิครับ เก่าตามอายุ ได้ใจจริง ๆ



                   และอีกอย่างหนึ่งที่หลวงพ่อสั่งไว้ทุกครั้ง และ แกยังไม่เคยลืมจนทุกวันนี้คือ ให้คลี่ผ้ายันต์ที่ม้วนกลม ๆ ออกได้ แต่ห้ามแก้มัดด้ายสายสิญจน์ที่มัดม้วนไว้ออกมาโดยเด็ดขาด  แต่ให้ใช้วิธีค่อย ๆ เลื่อนออกด้านข้าง และ เมื่อจะสวมคืนก็ให้ใส่ด้านข้างค่อย ๆ เลื่อนเข้าเหมือนตอนเลื่อนออก แกก็สงสัยเหมือนกัน ว่าจะถามหลวงพ่อ แต่ก็ไม่รู้เป็นเพราะอะไรทำให้ปากหนักทุกครั้ง จนหลวงพ่อมรณะภาพ จึงหมดโอกาสถาม แต่ผมคิดว่า หลวงพ่อน่าจะใช้คาถาอาคมในการมัดม้วนด้ายสายสิญจน์เอาไว้ ถ้าแก้มัดออกก็อาจจะทำให้เวทมนต์ที่เสกไว้เสื่อมหรือลดน้อยถอยลงไปก็อาจจะเป็นได้ (ความเห็นส่วนตัวนะครับ )


 

เมื่อเลื่อนผ้ายันต์ออก ด้ายสายสิญจน์ จึงอยู่ในลักษณะอย่างนี้




บอกเดือน ปี ที่ออกว่า ธันวาคม 2520 ชัดเจนครับ



                    ตอนแรกผมเข้าใจว่า ผ้ายันต์ มีเพียงรุ่นเดียว คือ รุ่นที่ออก ธันวาคม 2520  แต่เมื่อถามศิษย์เอก ซึ่งเป็นพ่อค้าอยู่ที่ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จึงได้รู้ว่า ผ้ายันต์มี 2 รุ่น แต่ลักษณะเป็นผ้ายันต์พุทธนิมิตรเหมือนกันทั้งสองรุ่น รุ่นแรก ออกประมาณ ปี 2519 ริมผ้ายันต์ด้านล่าง จะพิมพ์ข้อความว่า พระครูอุดมวรเวท หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เท่านั้น ไม่มี เดือน และ ปี พ.ศ. ที่ออก  ปลุกเสกพร้อมกับเหรียญรุ่น สอง ต่อมา หลวงพ่อได้ตรวจสอบแม่พิมพ์โดยละเอียด พบว่า ยันต์ อิติปิโส ภะคะวา อะระหังสัมมา........ไล่ไปเรื่อย ๆ จนสุดท้าย...... พุทโธ ภะคะวาติ ที่ใส่ไว้ในแต่ละช่อง เริ่มตั้งแต่ดวงตา จนจดปลายเท้าครบ  56  ตัว มีอยู่ตัวหนึ่งที่ช่างแกะแม่พิมพ์แกะยันต์ผิด ซึ่งเป็นตัวไหนหลวงพ่อเคยบอกไว้อยู่แต่พ่อค้าท่านลืมไปแล้ว ในเมื่อผ้ายันต์ก็ได้พิมพ์ออกมาจนเสร็จแล้ว หลวงพ่อจึงได้ปลุกเสกไปตามนั้น ต่อมาจึงได้ให้ช่างแกะแม่พิมพ์ใหม่ให้ถูกต้อง และ ใส่ เดือน ปี ที่ออก คือ ธ้นวาคม 2520 ต่อท้ายเข้าไปอีก จึงเป็นผ้ายันต์ รุ่น สอง ส่วนสีของผ้ายันต์ มีทั้งสีแดง และ สีขาว ทั้งสองรุ่น ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อิ้น หนังควายปั้น


















                    อิ้น หนังควายเผือก ฟ้าผ่าตาย ปั้นมือ จุ่มรัก พันรอบเอวด้วยด้ายสายสิญจน์เสก ฝีมือการปั้นและปลุกเสกโดย หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ความแปลก ศิลปะ  บรรยายด้วยภาพครับ รับรองว่า ไม่เหมือนใคร และ ไม่มีใครเหมือนแน่นอน อิ้นคู่นี้ ลักษณะดูแล้ว คงจะใช้มาอย่างโชกโชนมาก สังเกตุจากความเก่า หนังควายแห้งสนิท และเกิดรอยแตกรานตามธรรมชาติ อีกทั้ง รักที่จุ่มไว้ หลุดลอกออกไปจนเกือบจะหมด แต่ก็ยังพอจะเห็นร่องรอยอยู่บางส่วน ตั้งแต่สะสมมา เพิ่งเคยเห็นอิ้น หลวงพ่อสังข์ วัดนากันตม ชิ้นนี้ชิ้นเดียว


                    เขาว่ากันว่า อิ้น  คือรูปชายหญิงที่กำลังกอดรักกัน มีความเชื่อมาตั้งแต่โบราณ เป็นบุรุษหญิงชายคู่แรกของโลก เป็นเครื่องรางที่แสดงถึงความรักระหว่างชายกับหญิง ลักษณะนี้เรียกว่าอิ้นคู่   ผู้ใดมีไว้ติดตัวย่อมมีอำนาจเหนือจิตใจของเพศตรงข้าม มีอำนาจในทางดึงดูดเพศตรงข้ามให้สนใจในตัวของเรา ทำให้เพศตรงข้ามคิดถึงตัวเราเสมอๆ เกิดความรักเกิดความต้องการที่จะใกล้ชิด ผู้ที่พกอิ้นคู่รักซึ่งเป็นเครื่องรางที่มีความผูกพันโดยตรงหากใครที่อยากมีความรักและเขาก็รักเราเช่นกัน


                    นอกจากนี้คนที่มีคู่อยู่แล้ว คู่ของเราอาจจะเหินห่างไม่ค่อยใยดีกับเรา ท่านบอกว่าให้นำอิ้นคู่พลอดรัก  พกติดตัวทำการอธิษฐานต่ออิ้นคูรักไม่ช้าไม่นานคู่รักจะคืนดีด้วยอย่างน่าอัศจรรย์ คู่สามีภรรยาที่แตกแยกกันสามีนอกใจภรรยา ภรรยานอกใจสามี จะได้รักใคร่กลมเกลียวกัน ส่วนคู่ที่รักกันอยู่แล้วก็จะรักยิ่งๆ ขึ้นไป ผูกจิตให้รักผูกใจให้คิดถึงคะนึงหามิรู้ลืมมีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็นเมตตารักใคร่

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พระฤาษีหน้าพญานาค และ หน้ากวาง หนังควายปั้น


                    พระฤาษีหน้าพญานาค (ฤาษีกษิโรธ) หนังควายเผือกฟ้าผ่าตาย จุ่มรัก ปั้นมือ หลวงพ่อสังข์ วัดนากันตม



                 ศิลปะการปั้นมือ และ การออกแบบรูปลักษณ์ ระดับซือแป๋ เรียกอาจารย์








ที่คอขององค์พระฤาษี พันด้วยด้ายสายสิญจน์เสก ตามสูตร




                    ด้านหลัง มองเห็นร่องรอยการใช้ของมีคม กรีดแผ่นหนังควาย เพื่อการปรับแต่งองค์พระอย่างเห็นได้ชัด


ใต้ฐานลงเหล็กจาร ดูเข้มขลังยิ่งนัก

                    ฤาษีกษิโรธ เป็นฤาษีในชั้นเทพฤาษี ถือได้ว่าเป็นเสมือนบิดาของ (องค์พระมหาลักษมีมาตาเทวีเจ้า ผู้เป็นพระชายาในพระมหาวิษณุผู้เป็นเจ้า) เป็นผู้สันทัดในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ร่ำรวย ด้วยสมบัติ อันมากมาย ฤาษีกษิโรธ ภาคนี่มีรูปร่าง เป็นมนุษย์ ศรีษะเป็นพญานาค ผิวกายสุกสว่างเป็นสีขาว นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าเครื่องประดับล้ำค่าดั่งกษัตริย์เป็นสีขาว คล้องประคำไข่มุกสีขาว
                  
                   ดังนั้น พระฤาษีหน้าพญานาค เมื่อบูชาแล้วจะก่อให้เกิดอานิสงส์ ทางโภคทรัพย์ ความอุดมสมบูรณ์พูนสุข ความร่ำรวย มีกิน มีใช้ ไม่มีวันหมดครับ



ฤาษีหน้าเนื้อ หรือ ฤาษีหน้ากวาง หรือ พระฤาษีประไลยโกฐ


                 พระฤาษีประไลยโกฐ เป็นครูแห่งการร้องรำ ทรงครองเพศเป็นฤาษี แต่มีหน้าเป็นเนื้อ มีเขาเป็นวัวด้วยท่านกำเนิดจากวัวและกวาง แต่ได้บำเพ็ญจนคืนร่างเป็นมนุษย์ และได้ร้องเพลงอ้อนวอนพระอิศวรจนเสด็จมาประทานพรให้เป็นบรมครู แห่งการร้องทั้งปวง
 







                 
                     ฝีมือการปั้นของ หลวงพ่อสังข์ วัดนากันตม เช่นกัน บรรยายด้วยภาพครับ
                       
                         พระฤาษีประไลยโกฐ ซึ่งว่ากันว่าเป็นบุตรของ พระฤาษีอิสีสิงค์ (เป็นพระฤาษีชั้นเทพบุตรทั้งคู่) นั้น จากการรวบรวมตำนานฤาษี ของ อาจารย์ ว.จีนประดิษฐ์ จากตำนานโบราณแท้ที่จริงแล้ว พระฤาษีหน้าเนื้อ นั้นในหลายตำรา "พระฤาษีฤษยะสฤงค์" หรือ "พระฤาษีอิสีสิงค์" เป็นองค์เดียวกันกับที่เป็นพระสวามีของนางศานตา ซึ่ง พระสวามีของนางศานตา หรือนางอรุณวดี ซึ่งว่ากันว่า จะกระทำการสิ่งใดให้ประสบผลสำเร็จ หรือ ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ควรอัญเชิญฤาษีหน้าเนื้อนี้ด้วย

                         เรื่อง พระฤาษีประไลยโกฐตำนานเล่าว่า ท่านได้บำเพ็ญตบะสร้างบารมี อยู่ในป่าเพื่อหวังความสำเร็จแล้วจะได้บังเกิดในสวรรค์ ตั้งใจบำเพ็ญพรตเพื่อนิพพานด้วยความมุ่งมั่นแต่อย่างเดียว และในระหว่างนั้นเหล่ามวลมนุษย์ทั้งหลายได้รับความเดือดร้อน และกังวลในเรื่องอาหารการกิน ต้องดินรนแสวงหาสิ่งของมาประทังชีวิต แต่พระฤาษีประไลยโกฐ ถึงแม้จะห่วงใยก็ไม่สามารถหาทางออกให้ประชาชนในขณะนั้นได้ จึงได้แต่บำเพ็ญพรตต่อไป จนกระทั่งเกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาร ด้วยบุญญาธิการ และบารมีการบำเพ็ญของท่าน จึงเกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์ พายุใหญ่พัดกระหน่ำรุนแรง ต้นไม้โค่นระเนระนาด พอฝนซาเกิดน้ำท่วมรอบ ๆ อาศรมท่าน

                          และในเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้มีเมล็ดข้าวสาลีปลิวมากับพายุ แล้วตกบริเวณหน้าอาศรมท่าน อยู่ตรงนั้น จนเมล็ดข้าวสาลี กระเทาะเปลือก ท่านเฝ้าดูอย่างปลื้มปิติ มันงอกงาม จนสุก เหลืองอร่าม ทั้งยังส่งกลิ่นหอม ท่านจึงรำพึงว่า นี่ต้น  นี่ผลอะไร? มนุยษ์จะกินได้หรือเปล่า ? ฉนั้นเราจะคอยดูว่า จะมีพวกนกกาหรือสัตว์อื่นใดมากินหรือไม่ ถ้าสัตว์กินได้ มนุษย์ก็ต้องกินได้


                         หลังจากนั้น ก็ได้มีนกกระจาบ ตัวเล็กๆ บินมา กินเมล็ดข้าวสาลี จนอิ่ม แล้วยังคาบ รวงข้าวกลับไปด้วย และแล้ว อีกไม่นาน ก็ได้มีนกกระจาบฝูงใหญ่บินมากินจนอิ่มหน่ำ แล้วคาบกลับไปอีก ท่านเห็นดังนี้ ก็ดีใจ คิดได้ว่าต่อไปมนุษย์จะต้องไม่เดือดร้อนเรื่องอาหารการกินอีกต่อไป จนนกเหล่านั้นไปหมดแล้ว ท่านจึงลงจากอาศรม แล้วเก็บรวบรวมเมล็ดข้าสาลีที่เหลือ เพื่อขยายพันธุ์ต่อไป เพื่อให้มากพอกับความต้องการของมนุษย์

                         ตามตำนานของพระฤาษี ว่าไว้ว่าอย่างนี้ครับ ดังนั้น เมื่อบูชาฤาษีหน้าเนื้อแล้ว จะก่อให้เกิดอานิสงส์ทางประสบความสำเร็จ การขจัดปัดเป่าปัญหาอุปสรรค และ ความอุดมสมบูรณ์พููนสุขของชีวิต ครับ