วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิชาฝังหุ่น


พระครูอุดมวรเวท ( สังข์  สุริโย)

                     อุดมวรเวท  หมายถึง ผู้ที่มากด้วยเวทมนต์ คาถาอาคม ชั้นเลิศ   สมณศักดิ์ที่หลวงพ่อสังข์ ได้รับพระราชทาน นั้นช่างเหมาะสมกับท่านโดยแท้ สมณศักดิ์ นี้ไม่ใช่ว่าได้มาง่าย ๆ ท่านจะต้องพิสูจน์ให้ทางคณะสงฆ์และลูกศิษย์เห็นและสัมผัสได้จริง ๆ ว่าท่านเป็นเกจิอาจารย์ ที่เหมาะสมจะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นี้
                     ก่อนที่จะมาเป็นเกจิอาจารย์นั้นท่านจะต้องศึกษาวิชาเกี่ยวกับทางด้านไสยศาตร์ มาอย่างเจนจบก่อน 
                     ไสยศาสตร์ เป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา และ เลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจสมาธิจิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และการปลุกเสก
                     ไสยศาสตร์ หรือ ศาสตร์มืด คือการทำ "คุณไสย" ในพจนานุกรมไทยให้คำจำกัดความ คุณไสย ว่า "เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายอมิตร" เป็นศาสตร์ที่ทางวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ แต่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และมีคนเชื่อและผู้ปฏิบัติทั่วโลก ในแต่ละชุมชนจะมีรูปแบบของไสยศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป แต่สรุปแล้วไสยศาสตร์ก็คือการทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น โดยผิดแปลกจากกฏของธรรมชาติ เช่น ทำให้สามีภรรยาที่ดีกันทะเลาะและแยกทางกัน ทำให้สาวหลงรักหนุ่มที่เคยเกลียด ซึ่งปกติแล้วจะใช้ไสยศาสตร์มาใช้ในทางที่ชั่วร้าย โดยเฉพาะการทำ "คุณไสย" ที่เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายผู้ไม่เป็นมิตรด้วยการปลุกเสกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าไปในตัว หรือฝังรูปฝังรอย หรือการทำเสน่ห์ยาแฝด ลงนะ จากผู้ที่อ้างตัวว่ามีอาคม ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ทำมาหากินด้วยการหลอกลวงผู้คน หรือที่เรียกว่า พวกสิบแปดมงกุฎ ถึงกระนั้นก็ตาม“คุณไสย” หรือ “มนต์ดำ” ยังมีผู้หลงงมงายมากมาย

                    ไสยศาสตร์ถือเป็นศาสตร์ที่ลี้ลับมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และมีทั่วโลกแม้กระทั่งในเวลาปัจจุบัน แม้รูปแบบจะแตกต่างกัน แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การทำอันตรายต่อผู้คนด้วยวิธีที่ลี้ลับ
                    ลัทธิไสยศาสตร์ คือการรวมอำนาจจิต รวมพลังงานทางจิตซึ่งได้ทำการอบรมจิตใจให้มีความยึดมั่น เชื่อถือ อย่างจริงจัง ดำเนินไปตามหลักทางไสยศาสตร์ ตามวิธีการนั้น ๆ ก็จะสามารถแสดงฤทธิ์ปาฎิหารย์ได้ด้วยกระแสคลื่นแห่งพลังอำนาจจิตอันแรงกล้า ของ มโนภาพ สมาธิ จิตตานุภาพ ทั้งสามประการนี้ จึงเป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจที่ประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นได้
                    ลัทธิไสยศาสตร์ ได้เกิดขึ้นมาก่อนพุทธกาล ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไตรเพท ในลัทธิของพราหมณ์ ได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ
                          1. ฤคเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์และสรรเสริญพระเจ้า
                          2. ยชุรเวทย์ เป็นคำร้อยแก้วให้สำหรับท่องบ่นเวลาบวงสรวงบูชาพระเจ้า
                          3. สามเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม
                          4. อาถรรพเวทย์ เป็นคัมภีร์ประกอบด้วยเวทยมนต์คาถาเรียกผีสาง เทวดาให้ช่วยป้องกันอันตรายให้ และให้มีการแก้อาถรรพ์ ทำพิธีสาปแช่งให้เป็นอันตรายได้ด้วย
                    อาถรรพเวทย์ในคัมภีร์ไสยศาสตร์ แยกออกเป็น 2 นิกาย คือ
                          1. นิกายไสยขาว (White System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางดี คือช่วยเหลือมนุษย์ให้มีสุขปลอดภัย
                          2. นิกายไสยดำ (Black System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางชั่ว คือทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น
                     คัมภีร์แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ทางเวทมนตร์ คาถาอาคม  ของนิกายไสยขาว มี 8 ประเภท คือ
                          1. พระเวทย์แก้โรคต่าง ๆ
                          2. พระเวทย์ประสาน
                          3. พระเวทย์สะเดาะ เช่น สะเดาะกุญแจและโซ่ตรวน
                          4. พระเวทย์ป้องกันตัว เช่น คาถาแคล้วคลาด
                          5. พระเวทย์แสดงปาฎิหาริย์
                          6. พระเวทย์ทำอันตรายผู้อื่น
                          7. พระเวทย์แก้ภูติผีปีศาจ เช่น คาถาสะกดวิญญาณ
                          8. พระเวทย์ทำเสน่ห์ เช่น มนตร์เทพรำจวญ
                    หลวงพ่อสังข์ วัดนากันตม นั้น  เชื่อกันว่า ท่านเรียนวิชาไสยศาสตร์ มาจนเชี่ยวชาญแทบเรียกได้ว่าจบหลักสูตร ท่านน่าจะเก่งพระเวทย์ทั้ง 8 ประเภท แต่เอาที่เห็นกันจะจะสักประเภทหนึ่งที่พระอาจารย์บุญมี ได้สัมผัสมาแล้ว และ เล่าให้ผู้เขียนฟัง คือ ประเภทที่ 8 เช่น วิชาพระเวททำเสน่ห์ วิชาฝังหุ่น เป็นต้น

                                          วิชาฝังหุ่น
                     ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อสังข์ ลงมากรุงเทพฯ มาพักที่วัดสระเกศ กุฎิของ พระอาจารย์บุญมีเช่นเคย ช่วงนั้นหลวงพ่อมีชื่อเสียงมากแล้ว พวกลูกศิษย์ที่เป็น คหบดี นายทหาร นายตำรวจ  นายแพทย์ใหญ่ ๆ คุณหญิง คุณนาย ทั้งหลาย ต้องคอยฟังข่าวว่าหลวงพ่อลงมากรุงเทพ ฯ หรือยัง ถ้ามาแล้วก็จะมาพบที่กุฎิพระอาจารย์บุญมี เพื่อให้รดน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา ลงกระหม่อม ปรึกษาหารือเรื่องราว ต่าง ๆ เช่น หาฤกษ์ยามยามดีปลูกบ้าน ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน รวมทั้งขอบูชา วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง เป็นต้น
                    พระอาจารยบุญมี เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งมีคุณนายของนายพลตำรวจท่านหนึ่ง มาให้หลวงพ่อทำพิธีเรียกให้สามีกลับมาอยู่ด้วยกัน เนื่องจากช่วงนั้น สามีไปมีภรรยาน้อย และหลงภรรยาน้อยอย่างหนักแทบจะไม่กลับมาบ้านเอาเสียเลย ถ้ากลับมาก็หน้าตาเศร้าหมอง หงุดหงิดง่าย พอทะเลาะกัน ก็พาลหาเรื่องออกจากบ้านไปอยู่กับภรรยาน้อยอีก เธอร้องห่มร้องไห้อย่างหนักกลัวว่าจะเสียสามีไป หลวงพ่อสงสารจึงรับปากว่าจะช่วย และ ให้คุณนายเขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดของตนเองและสามีทิ้งเอาไว้ ยังไม่สามารถทำพิธีในวัน นั้นได้ เพราะต้องเตรียมอุปกรณ์สำคัญที่จะใช้ประกอบพิธี 3 อย่างก่อน คือ
                    1. ขี้ผึ้งปิดหน้าผี  อันว่าขี้ผึ้งปิดหน้าผีนั้น ในสมัยก่อนเมื่อมีคนเสียชีวิตโดยเฉพาะผีตายโหงซึ่งเสียชีวิตผิดธรรมชาติ เช่น ประสพอุบัติเหตุถูกรถชนหรือรถคว่ำตาย ถูกยิงตาย ฟ้าผ่าตาย เป็นต้น การเสียชีวิตลักษณะนี้ สภาพของศพจะไม่น่าดู ตามชนบทที่ห่างไกล ไม่มีหมอที่จะแต่งหน้าศพก่อนบรรจุหีบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอุจาดตา  เขาก็จะนำขี้ผึ้งมาโป๊ะหรือมาพอกหน้าศพเอาไว้ เขาจึงเรียกว่า ขี้ผึ้งปิดหน้าผี เมื่อสัปเหร่อจะทำการเผาเขาจึงจะทำการแกะออกมา
                    2. ใบรัก ใบรักที่จะใช้ประกอบพิธีนั้น จะต้องเป็นใบรักซ้อน ห้ามใช้ใบรักลา ใบต้นรักที่เขาปลูกซึ่งมีดอกเป็นสีขาวและสีม่วงที่เขานำดอกมาร้อยเป็นพวงมาลัยนั้นใช้ไม่ได้ เพราะนั่นเป็นรักลา จะต้องใช้ใบของต้นรักที่ดอกจะมีลักษณะของกลีบดอกซ้อนกันหลายชั้น ซึ่งเขาเรียกกันว่าดอกรักซ้อนเท่านั้นจึงจะใช้ได้
                    3. ด้ายสายสิญจน์  ต้องเป็นด้ายสายสิญจน์ที่ใช้จูงศพ หรือ ใช้ในพิธีศพ
                   หลวงพ่อใช้เวลาเตรียมอุปกรณ์นานพอสมควร เนื่องจากหาขี้ผึ้งปิดหน้าผีของแท้ยาก มีคนเอาของปลอมมาให้ หลวงพ่อก็ทราบ เมื่อหาได้ครบแล้ว หลวงพ่อก็เตรียมอุปกรณ์โดยใช้ขี้ผึ้งปั้นหุ่น 2 ตัว เป็นหญิงและชาย จากนั้น ก็นำใบรักซ้อนมาเขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดของคุณนาย และ สามี ติดไว้ที่หุ่น อย่างละใบ และ ก็รอฤกษ์ยามที่จะทำพิธีซึ่งหลวงพ่อบอกว่า จะต้องทำพิธีเวลากลางคืนดึกสงัดเท่านั้น
                   และแล้วในคืนวันหนึ่ง พระอาจารย์บุญมี เข้าห้องจำวัดตามปกติ ตกกลางดึกต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงสวดมนต์ที่ยาวนานและดังพอสมควร ฟังไปสักระยะหนึ่งจึงลุกขึ้นมาเพื่อจะไปปัสสาวะ จึงได้เห็นหลวงพ่อสังข์กำลังทำพิธีสวดมนต์และมีหุ่นขี้ผึ้งทั้งสองตัววางอยู่ข้างหน้า จากการสังเกตุ ของพระอาจารย์บุญมี เห็นว่าหุ่นทั้งสองตัววางอยู่ห่างกันประมาณ 1 ฟุตไม้บรรทัด เมื่อออกไปปัสสาวะเสร็จแล้วพระอาจารย์บุญมี กลับเข้ามาในห้องจึงถือโอกาสนั่งลงข้าง ๆ เพื่อดูหลวงพ่อทำพิธี และแล้วสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า ทำให้พระอาจารย์บุญมีถึงกับตกตะลึงและตื่นเต้นมาก โดยไม่คาดคิดว่า วิชาอาคมของหลวงพ่อจะแก่กล้ามากถึงขนาดนั้น เนื่องจากในขณะที่หลวงพ่อสังข์หลับตาสวดมนต์มิได้หยุดอยู่นั้น เจ้าหุ่นทั้งสองตัวกระดอนจากพื้นไม้กระดานขึ้นลงเป็นจังหวะและค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าหากัน พระอาจารย์บุญมี อธิบายให้เห็นภาพว่า เหมือนเราขึ้นไปนั่งขย่มบนแคร่ไม้ไผ่ แล้วสิ่งของเล็ก ๆ ที่วางบนแคร่กระดอนขึ้นลงอย่างนั้น จนในที่สุด หุ่นทั้ง 2 ตัว ก็เคลื่อนเข้ามาจนติดกัน หลวงพ่อสังข์ จึงหยุดสวดมนต์ และ ลืมตาขึ้น เสร็จแล้วหลวงพ่อจึงนำด้ายสายสิญจน์มาผูกหุ่นทั้งสองโดยพันรอบตัวหุ่นหลายรอบโดยหันหน้าเข้าหากันและมัดติดกันจนแน่น ในขณะที่มัดหุ่นก็เสกคาถาไปด้วยจนเสร็จพิธี ต่อมาในเช้ามืดวันนั้น หลวงพ่อสังข์ สั่งให้พระอาจารย์บุญมี นำหุ่นทั้งสองที่มัดติดกันอย่างแน่นหนาไปฝังดินไว้ แต่เนื่องจากวัดสระเกศไม่ค่อยจะมีบริเวณที่เป็นพื้นดินมากเท่าไรนักพระอาจารย์บุญมีจึงนำไปฝังไว้ข้างกุฏิของพระมหาอะไร ผมก็จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว หลวงพ่อจึงให้พระอาจารย์ส่งข่าวให้คุณนายทราบ ว่าทำพิธีให้แล้ว เดี๋ยวสามีก็คงจะกลับมาแน่นอน อีกต่อมาไม่นาน คุณนายก็มากราบหลวงพ่อ มาถวายเพล ดูหน้าตาสดชื่น บอกว่าท่านนายพลสามีกลับมาแล้ว ขอขอบคุณหลวงพ่อมากที่ช่วยเหลือ  หลวงพ่อก็อนุโมทนา คุณนายก็กลับไป 
                    หลังจากนั้นสักประมาณ 5 - 6 เดือน  หลวงพ่อสังข์ กลับขึ้นไปวัดนากันตม จังหวัดศรีสะเกษแล้ว คุณนายก็มาที่กุฏิพระอาจารย์บุญมีอีก เล่าให้ฟังว่า ท่านนายพลกลับไปหาภรรยาน้อยอีกแล้ว คราวนี้ไม่กลับมาบ้านเลย จะมาขอให้หลวงพ่อสังข์ ช่วยอีกครั้ง ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น วันหนึ่ง พระอาจารย์บุญมี สังเกตุเห็นสุนัขมันคาบสิ่งของอยู่ในปากมีเชือกสีขาวคล้ายด้ายสายสิญจน์ลากเป็นทางยาว  พอไล่มัน มันจึงคายของในปากจึงเห็นว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้งที่หลวงพ่อสังข์ ให้ไปฝังไว้นั่นเอง สภาพที่เห็น หุ่นหักกลางแยกออกเป็นสองท่อน มีด้ายสายสิญจน์พันรอบอยู่และเห็นเพียงแค่ตัวเดียว อีกตัวหนึ่งไม่รู้ว่าหลุดหายไปไหน เมื่อตามไปดูที่จุดฝัง เห็นมีต้นฝรั่งปลูกอยู่แทนที่ สอบถามได้ความว่า พระมหาขุดหลุมปลูกต้นฝรั่งตรงจุดที่ฝังหุ่น ทำให้หุ่นถูกขุดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจและสุนัขเห็นจึงคาบไปเล่นกระจุยกระจาย ขณะนั้น พระอาจารย์บุญมี เห็นสภาพหุ่นแล้วรู้สึกใจหายแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร และแล้วไม่นาน คุณนายก็มาจริง ๆ พอพระอาจารย์บุญมี บอกว่าหลวงพ่อสังข์กลับไปศรีสะเกษแล้ว คุณนายก็ยืนยันว่าจะไปพบให้ได้ ขอให้บอกชื่อวัดและเส้นทางที่จะไปวัดให้ด้วย จะให้ตำรวจลูกน้องของนายพลพาไป  ดูท่าทางคุณนายจะศรัทธาหลวงพ่อจริง ๆ ว่าจะช่วยได้ 
                   หลังจากนั้นก็ไม่เห็นคุณนายมาพบอีกเลย พอเจอหลวงพ่อสังข์ ก็เลยสอบถามเรื่องนี้  หลวงพ่อสังข์ บอกว่า คุณนายให้ตำรวจพาไปหาที่วัดนากันตมขอร้องหลวงพ่อให้ทำพิธีให้ใหม่  คราวนี้ หลวงพ่อให้เอาหุ่นไปฝังไว้ที่ป่าช้าเลยทีเดียว และ หลังจากนั้นก็หายเงียบไปเลย คงจะสำเร็จสมใจคุณนายแล้ว

                 

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เหรียญ รุ่นสาม


เหรียญรุ่น 3 ด้านหน้า


เหรียญรุ่นสาม ด้านหลัง


                    เมื่อปี พ.ศ. 2523 ได้มีการสร้างวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลัง ของหลวงพ่อสังข์ หลายชนิด มีทั้งพระพุทธรูปขนาดบูชาปางต่าง ๆ   พระรูปเหมือนหลวงพ่อสังข์ และ อื่น ๆ อีกหลายอย่าง เช่น หลายท่านนำเอาวัตถุมงคล พระเครื่อง พระบูชาของพระอาจารย์ต่าง ๆ ที่ตนเองสะสมอยู่ มาเข้าร่วมพิธีปลุกเสกด้วย รวมทั้ง เหรียญรุ่นสาม ซึ่งเหรียญรุ่นนี้ พระอาจารย์บุญมี ทำให้แตกต่างจากเหรียญรุ่นสองคือ เอาโค๊ดดอกจันทน์เหนือบ่าซ้ายของหลวงพ่อออก ใส่เลข 72 ซึ่งเป็นอายุของหลวงพ่อในปีนั้นไว้ตรงขอบสังฆาฏิกลางหน้าอกและ เพิ่มดาว จำนวน 7 ดวง ไว้เหนือยันต์ด้านหลังเหรียญ จำนวนที่สร้างคราวนี้ สร้างถึง 20,000 เหรียญ และการปลุกเสกคราวนี้ เป็นพิธีใหญ่ ปลุกเสกในโบสถ์วัดนากันตม อีกทั้งได้มีการนิมนต์พระสงฆ์ของวัด และ จากวัดอื่น  มาร่วมพิธีปลุกเสกด้วย การปลุกเสกเริ่มขึ้นตั้งแต่หัวค่ำเรื่อยไปทั้งคืนยันสว่าง หลังจากนั้นมาก็ไม่มีการสร้างเหรียญของหลวงพ่อ ออกมาอีกเลย และ ต่อมาหลวงพ่อก็ถึงแก่มรณภาพในปี พ.ศ. 2526 เหรียญรุ่นสาม จึงเป็นเหรียญรุ่นสุดท้ายของหลวงพ่อ ส่วนวัตถุมงคล รุ่นสุดท้ายจริง ๆ ที่หลวงพ่อสังข์สร้าง ก่อนมรณะภาพเพียงไม่กี่วัน เป็นอะไรนั้น ตามไปดูที่ วัตถุมงคลรุ่นสุดท้าย ครับ

พระสมเด็จหลังยันต์





                    พระสมเด็จหลังยันต์ เนื้อผงพุทธคุณ ผสมผงว่านยา 108 สร้างและปลุกเสกโดย หลวงพ่อสังข์  สุริโย วัดนากันตม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ




                    หลวงพ่อลงรักเคลือบองค์พระไว้ และปิดทองพองาม ส่วนด้านหลังประทับยันต์ อักษรขอม พุท ธะ สัง มิ ไว้เป็นสำคัญ ซึ่งคาถานี้นับถือกันว่าเป็นคาถายอดศีลหรือหัวใจไตรสรณาคมนั่นเอง 

                    พระคาถายอดศีลนี้  เชื่อกันว่าใช้ได้รอบด้าน เป็นยอดพระคาถาทางเมตตา มหาเสน่ห์ มหานิยม รวมถึงทางอยู่ยง คงกระพันชาตรี ตลอดจนจะใช้เป็นล่องหนกำบังก็ใช้ได้

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เหรียญ รุ่นสอง







เหรียญรุ่น 2 หลวงพ่อสังข์ วัดนากันตม

                    เมื่อทำเหรียญ รุ่นแรกออกมา ปรากฏว่า ได้รับความนิยมสูงมาก พวกทหาร ตำรวจ โดยเฉพาะ  ตชด. และ ทหารพราน นำติดตัวไปปฏิบัติหน้าที่ แคล้วคลาดปลอดภัยกลับมาทุกครั้ง  และ เมื่อเหรียญเริ่มจะหมด พระอาจารย์บุญมี จึงได้สร้างเหรียญรุ่นสอง ออกมา ในปี พ.ศ. 2519  โดยคราวนี้ พระอาจารย์บุญมี เป็นผู้ออกแบบด้านหลังเหรียญเอง และ มีเอกลักษณ์ พิเศษ คือ พระอาจารย์ให้ตอกโค๊ดดอกจันทน์ ไว้เหนือบ่าซ้ายของหลวงพ่อ จำนวนการสร้าง   10,000 เหรียญ เท่ากับรุ่นแรก และ หลวงพ่อปลุกเสกเดี่ยวเช่นเคย

                เหรียญรุ่นนี้ มีประสบการณ์สูงมาก ตามไปดู เรื่องเล่า อภินิหาร เหรียญรุ่น สอง ได้ครับ

เหรียญ รุ่นแรก


เหรียญเนื้อทองแดงรมดำ


เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อสังข์ เหรียญมีเม็ดตา



เหรียญเนื้ออัลปาก้า


เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อสังข์ เหรียญไม่มีเม็ดตา
                                        เนื้ออัลปาก้า เท่าที่พบเห็นมีแต่เหรียญไม่มีเม็ดตาเท่านั้น  
                
                           เหรียญ รุ่นแรก ออกปี พ.ศ. 2512 สร้างโดย พระอาจารย์บุญมี  วัดสระเกศ  จำนวนที่สร้าง 10,000 เหรียญ เนื่องจาก พระอาจารย์บุญมี เห็นว่า หลวงพ่อสังข์ มีชื่อเสียงทางด้านเวทมนต์และคาถาอาคม จากสร้างเครื่องราง ของขลัง ไว้ให้ลูกศิษย์ทำบุญมาหลายปีแล้ว และเมื่อลูกศิษย์นำไปใช้ปรากฏว่ามีประสพการณ์สูง จึงพากันไปเช่าหาที่วัดกันมาก ทำให้ไม่เป็นการพอเพียงกับความต้องการ เนื่องจากการสร้างเครื่องราง ของขลัง แต่ละชิ้นใช้ มวลสารและเวลามาก การสร้างแต่ละครั้งได้ปริมาณน้อยไม่พอแจกจ่ายให้ผู้ที่มีจิตศรัทธา อีกทั้งหลวงพ่อยังไม่เคยสร้างเหรียญ จึงได้ไปปรึกษาหลวงพ่อและทำเหรียญรุ่นแรกออกมา โดยหลวงพ่อสังข์ เป็นผู้ออกแบบยันต์ด้านหลังเหรียญด้วยตัวเอง  จากการสอบถามพระอาจารย์บุญมี ยืนยันว่า มีบล๊อคเดียว คือบล็อคมีเม็ดตาแต่เมื่อปั๊มไปนาน ๆ บล๊อคเกิดการชำรุด ทำให้เม็ดตาหายไป เหรียญจำนวนหนึ่งจึงไม่มีเม็ดตา อีกทั้งเหรียญที่มีเม็ดตาเพียงข้างเดียวก็มีปรากฎให้เห็น ข้อสังเกตุ เหรียญไม่มีเม็ดตานั้นนอกจากเม็ดตาหายไปแล้วยังปรากฎรอยบล๊อคแตกที่ขอบเหรียญด้านล่างใต้ตัวอักษร ง งู ครับ เมื่อสร้างเหรียญได้ครบตามจำนวนแล้ว พระอาจารย์บุญมี จึงได้นำไปให้หลวงพ่อสังข์ ปลุกเสกเดี่ยว ที่กุฏิของหลวงพ่อที่วัดนากันตม  หลวงพ่อทำพิธีปลุกเสกตามวิธีการของหลวงพ่ออยู่นานจนครบสูตร จึงนำออกมาให้ทำบุญในสมัยนั้น เหรียญละ 20 บาท ครับ                  

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผู้ทรงอภิญญา รู้ภาษาสัตว์ ?



หลวงพ่อสังข์  สุริโย

                   พระอาจารย์ บุญมี ปภัสโร  วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ( ภูเขาทอง ) ลูกศิษย์ใกล้ชิดของ หลวงพ่อสังข์ ผู้ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของหลวงพ่อ และ การสร้างเครื่องราง  ของขลัง แก่ผู้เขียนมากที่สุด พระอาจารย์บุญมี ท่านเป็นชาวอำเภอกันทรลักษ์ บวชกับพระครูสิริกันทรลักษ์ ตั้งแต่เป็นสามเณร เมื่อครั้งที่พระครูสิริ ฯ อยู่ที่วัดศิริวราวาส  อำเภอกันทรลักษ์ ต่อมา ท่านจึงได้ย้ายไปอยู่วัดสระเกศ กรุงเทพ ฯ และกลับมาบวชเป็นพระกับพระครูสิริ ฯ อีกครั้งเมื่อท่านพระครูย้ายมาอยู่ที่วัดศรีขุนหาญ อำเภอขุนหาญ

                   พระอาจารย์บุญมี เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ครั้งหนึ่ง ประมาณปี พ.ศ.2490 กว่า ๆ  เมื่อครั้งที่พระอาจารย์บุญมี ยังบวชเป็นสามเณร  อยู่ที่วัดศิริวราวาส ซึ่งพระอุปัชฌาย์ของท่านคือ พระครูสิริกันทรลักษ์ เป็นเจ้าอาวาส ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่ง (ซึ่งต่อมาจึงได้ทราบว่าท่านคือ หลวงพ่อสังข์ ) ได้มาพบพระครูสิริ ฯ ที่วัด แต่ช่วงเวลานั้นท่านพระครูไม่อยู่ที่วัด ไปปฏิบัติศาสนกิจนอกวัด แต่สั่งเณรว่า ไม่นานก็จะกลับมา ช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูหนาวหลวงพ่อก็มานั่งผิงไฟแก้หนาวกับเณรข้างกุฏิเพื่อรอท่านพระครู หลวงพ่อสังข์ ได้สังเกตุเห็น สุนัขตัวหนึ่ง ลักษณะดี ท่าทางองอาจ เห่าเก่ง ไล่กัดกับสุนัขตัวอื่น ๆ อยู่โดยไม่กลัวใคร จึงถามเณรว่า เณรสุนัขตัวนี้เป็นของใคร เณรตอบว่า เป็นสุนัขของวัดอยู่กับพระครูตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่ทราบว่าใครนำมาปล่อยทิ้งไว้ เมื่อพระครูกลับมาถึงวัด หลวงพ่อสังข์จึงพูดกับพระครูว่า สุนัขตัวนี้มันสวยดี อยากจะขอไปเลี้ยงที่วัดนากันตมได้ไหม พระครูไม่ปฏิเสธ แต่ได้พูดเปรย ๆกับหลวงพ่อว่า สุนัขตัวนี้มันฮ้าย ( ดุ )นะ มันอยู่กับอาตมามาตั้งแต่เล็ก ๆ จนมันติดวัดแล้ว มันจะยอมให้จับมันไปอยู่ด้วยหรือ ? หลวงพ่อสังข์ บอกว่า จะลองดู จึงหันไปเรียกพระอาจารย์บุญมี ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ว่า เณร ขอข้าวเหนียวซักปั้น(ก้อน)ซิ  เมื่อได้ข้าวเหนียวมาแล้ว หลวงพ่อก็นั่งยอง ๆ ลงกับพื้น ใช้มือทั้งสองข้างปั้นข้าวเหนียวคลึงไปมาพร้อมกับบริกรรมคาถามุบมิบเบา ๆ ซึ่งพระอาจารย์บุญมีก็ฟังไม่ออก ชั่วอึดใจก็เป่าเพี้ยงไปที่ก้อนข้าวเหนียว 3 ครั้ง แล้วก็เรียกสุนัขตัวนั้นเข้ามาหา เป็นที่น่าประหลาดใจแก่สามเณรบุญมีมาก มันวิ่งเข้ามาหาหลวงพ่อแสดงอาการดีใจ กระดิกหาง  หมอบลงแทบเท้าหลวงพ่อ และยอมให้หลวงพ่อเอามือลูบหัว พอหลวงพ่อยื่นข้าวเหนียวก้อนนั้นให้ มันใช้ปากงับเอากับมือแล้วก็กิน หลวงพ่อสังข์ มองดูมันกินข้าวเหนียวด้วยความเอ็นดูอยู่พักหนึ่ง จึงได้ขึ้นไปบนกุฏิท่านพระครูเพื่อพูดคุยธุระการงานต่าง ๆ ซึ่งเป็นเวลานานพอสมควร แต่พระอาจารย์บุญมี สังเกตุเห็นว่า  สุนัขตัวนั้นไม่วิ่งหนีไปไหน คงหมอบอยู่ตรงข้างบันใดกุฏิ ตามองไปที่ประตูกุฏิตลอดเวลา เมื่อหลวงพ่อสังข์ เดินลงมา มันลุกขึ้นแสดงอาการดีใจ กระดิกหางและเข้าไปคลอเคลีย หลวงพ่อสังข์ จึงพูดขึ้นว่า ไปกลับวัดนากันตมด้วยกัน พอหลวงพ่อออกเดินไปขึ้นรถ สุนัขตัวนั้นก็วิ่งตามหลวงพ่อไปทันที และก็ไปอยู่ที่วัดนากันตมตั้งแต่นั้นมา
                      
                   พระอาจารย์บุญมี ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตลอด จึงได้แต่แปลกใจว่า หลวงพ่อสังข์ องค์นี้ ต้องเป็นเกจิอาจารย์ที่ไม่ธรรมดาแน่นอน อาจจะถึงขั้นสำเร็จอภิญญา รู้ภาษาสัตว์ก็ได้  ต่อมา เมื่อพระอาจารย์ย้ายมาอยู่วัดสระเกศ เวลาหลวงพ่อสังข์ลงมากรุงเทพ ฯ ก็มาพักอยู่ด้วย  พระอาจารย์บุญมี จึงได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์และคอยปรนนิบัติรับใช้ จนกระทั่งหลวงพ่อสังข์ มรณะภาพในปี พ.ศ. 2526 พระอาจารย์บุญมี ก็ไปจัดการทำพิธีขอพระราชทานเพลิงศพให้ อีกทั้งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการหาเงินก่อสร้างมณฑป เพื่อบรรจุอัฐิและอังคารของหลวงพ่อสังข์ ให้ลูกศิษย์ได้กราบไหว้มาจนทุกวันนี้

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พระโคโพธิสัตว์เนื้อโลหะ พิมพ์เล็ก

            

                   พระโคโพธิสัตว์เนื้อโลหะ พิมพ์เล็ก สร้างและปลุกเสกโดย หลวงพ่อสังข์  สุริโย  วัดนากันตม ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ


                       พิมพ์นี้เป็นเนื้อโลหะพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่เนื้อโลหะก็มี ศิษย์สุริโย เคยเห็นองค์จริงด้วย แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายภาพเอาไว้ เป็นเนื้อทองเหลืองผสม เคยพบทั้งที่มีและไม่มีกริ่ง เป็นพิมพ์ที่หาชมของแท้ยากมากอีกชนิดหนึ่งของหลวงพ่อ พิมพ์เล็กเป็นพิมพ์และเนื้อที่มีการปลอมแปลงมากที่สุดเช่นกัน ฝีมือใกล้เคียงมากพอสมควร ท่านใดที่คิดจะเช่าหาขอให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พระขรรค์ เขาควายเผือก



ลงเหล็กจาร อ่านว่า อิ สวา สุ



อ่านไม่ออก


                    พระขรรค์  เขาควายเผือก  ฟ้าผ่าตาย หลวงพ่อสังข์  กั่นพระขรรค์พันด้ายสายสิญจน์เสก  หลวงพ่อจารอักขระเลขยันต์  ทั้งสองด้าน  เนื้อฉ่ำเก่าได้ใจจริง ๆ ครับ

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พระสมเด็จ หลังรูปเหมือน ฝังตะกรุด 3 ดอก





                      พระสมเด็จ หลวงพ่อสังข์  สุริโย  วัดนากันตม พิมพ์  หลังรูปเหมือน  ใต้ฐานฝังตะกรุด 3 ดอก ปี 2512  พระรุ่นนี้ พระครูสาทรพัฒนกิจ ( หลวงพ่อละมูล ) วัดเสด็จ  ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี เป็นผู้สร้าง 





                 หลวงพ่อสังข์ ได้มอบผงวิเศษทั้ง 5 ชนิด ที่หลวงพ่อได้ทำไว้ คือ ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงมหาราช  ผงพุทธคุณ และ ผงตรีนิสิงเห ให้หลวงพ่อละมูล ไปเป็นส่วนผสม เนื่องจากหลวงพ่อละมูล ได้เคยมาเรียนวิชากับหลวงพ่อสังข์ ถึงวัดนากันตม และได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เมื่อถึงวันปลุกเสก หลวงพ่อละมูลก็ได้นิมนต์ หลวงพ่อสังข์ ให้ลงไปช่วยปลุกเสกที่วัดเสด็จด้วย




                      ใต้ฐานฝังตะกรุด 3 ดอกชัดเจน อาจารย์บุญมี วัดสระเกศ ศิษย์เอกเล่าว่า หลวงพ่อสังข์ได้มอบมวลสารที่เป็นผงวิเศษต่าง ๆ จากการเขียนผง ลบผงที่หลวงพ่อสังข์ ได้ทำไว้ จำนวน 1 บาตรพระ ให้ไปเป็นส่วนผสมสำคัญ  ทั้งฝังตะกรุดอีกต่างหาก แถมหลวงพ่อสังข์ ลงไปปลุกเสกให้เสียด้วย จึงเป็นพระสมเด็จอีกรุ่นที่หายาก ใครยังไม่มี รีบหาไว้ใช้นะครับพุทธคุณเด่นมาก ต่อไปราคาสูงแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พระพิฆเนศ หนังควายปั้น



                      พระพิฆเนศ หนังควายเผือก ปั้นมือ เคลือบรัก ฝีมือการปั้นและปลุกเสกโดย หลวงพ่อสังข์  สุริโย วัดนากันตม อำเภอกันลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ


                           ฝีมือการปั้นชั้นครู ซึ่งการปั้นหนังควายเป็นสุดยอดวิชาสายขอมลาวซึ่งไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน


                                     ปางนี้มี 4 กร




                 พระพิฆเนศ ปางกวักเงินกวักทอง สองมือด้านขวามือหนึ่งยกขึ้นกวักเงินกวักทอง ส่วนอีกมือหนึ่งนั้น วางพาดไว้ที่เข่า


                   ส่วนสองมือด้านนี้ มือหนึ่งถือถุงเงินถุงทอง อีกมือหนึ่งยกขึ้นกวักเงินกวักทองเช่นกัน และด้านนี้หลวงพ่อผูกด้ายสายสิญจ์เสกไว้ตามสูตร


                      พระพิฆเนศ องค์นี้เป็นหนังควายปั้นมือเช่นกัน ปางนี้มี 2 กร นั่งชันเข่าเต๊ะจุ้ยอย่างเดียว อีกทั้งมือทั้งสองข้างก็ไม่ต้องทำอะไร วางพาดไว้ที่เข่าอย่างสบายใจ


                     สังเกตุได้อย่างชัดเจนว่ามีงาซ้ายข้างเดียว ส่วนงาข้างขวาหักหายไป



ที่คอพันด้วยด้ายสายสิญจ์เสก ตามสูตรเป๊ะ







                     ศิษย์สุริโย ใคร่ขอกราบคารวะ ท่านพระครูอุดมวรเวท (หลวงพ่อสังข์  สุริโย) ด้วยความเคารพและศรัทธายิ่ง


ราหูเนื้อผงว่าน 2 หน้า




                    ราหูอมจันทร์ เนื้อผงพุทธคุณ ผสมผงว่านยา 108 พิมพ์ 2 หน้า สร้างและปลุกเสกโดย หลวงพ่อสังข์  สุริโย  วัดนากันตม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
 



                    ห่วงทองแดงใหญ่ ลงรักปิดทองพองาม อีกทั้งหลวงพ่อฝังเม็ดกริ่งอยู่ข้างใน

หนุมานหน้าโขน


                    หนุมานหน้าโขน เนื้อผงพุทธคุณ ผสมผงว่านยา คลุกรัก สร้างและปลุกเสกโดย พระครูอุดมวรเวท(หลวงพ่อสังข์  สุริโย) วัดนากันตม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ



























                  ดูหน้าตาผมชัด ๆ ครับ ผมหล่อไหมครับ  ที่คอหนุมาน หลวงพ่อ พันด้วยด้ายสายสิญจน์เสก ตามสูตร







  
                          ใต้ฐานหนุมาน หลวงพ่อประทับยันต์  เฑาะว์ขัดสมาธิ หรือบางท่านเรียก เฑาะว์มหาพรหม หรือบางท่านเรียกว่า เฑาะว์ขึ้นยอด ก็มี  ซึ่งเป็นยันต์ประจำตัวของ หลวงพ่อสังข์ ไว้เป็นสำคัญครับ สุดท้ายครับ เขย่าดูมีเสียงกริ่ง  ซึ่งผมฟังดูแล้วคิดว่าน่าจะฝังหลอดตะกรุดและใส่เม็ดกริ่งไว้ข้างในครับ

                    ขอขอบคุณผู้ไม่ประสงค์ออกนาม เจ้าของภาพและเจ้าของพระที่อนุญาตให้นำภาพและข้อมูลออกเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานเป็นอย่างสูงครับ 

พระอุปคุต




                พระอุปคุต เนื้อผงพุทธคุณ ผสมครั่งและผงว่านยา 108 คลุกรัก สร้างและปลุกเสกโดย หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตมอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ




                ด้านหลังหลวงพ่อลงเหล็กจารเต็มหลัง ดูแล้วเข้มขลังยิ่งนัก ขอกราบคารวะ พระครูอุดมวรเวท (หลวงพ่อสังข์ สุริโย) วัดนากันตม ด้วยความเคารพและศรัทธายิ่ง                                                                                       



วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คาถาเสกนวด ( สีผี้ง หรือ ขี้ผึ้ง ) ของ หลวงพ่อสังข์



                   เนื่องจาก ส่วนผสมของนวดตำหรับ หลวงพ่อสังข์ จะต้องผสม น้ำมันช้างตกมัน ( กัวเผาะ ) ซึ่งถือว่าเป็นส่วนผสมสำคัญ ที่มีอานุภาพสูงทางด้านเสน่ห์และเมตตา มหานิยม แต่น้ำมันนี้ มีกลิ่นฉุน และ คาวมาก แม้ว่าจะใส่ส่วนผสมที่เป็นเครื่องหอม เช่น น้ำมันหอมจันทน์  น้ำว่านชนิดต่าง ๆ ที่มีกลิ่นหอม  และ อื่น ๆ แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีกลิ่นฉุนมากอยู่ ผู้ใช้จึงไม่นิยมนำมาสูดดม เพราะจะทำให้วิงเวียนศรีษะ  แต่จะใช้สีปาก ทาที่หน้าผาก ที่คิ้วทั้งสองข้าง  และ ต้องเสกคาถา ของหลวงพ่อ  7  ครั้ง เป็นมหานิยม  อีกทั้ง ต้องใช้นิ้วไหน เพื่อใช้หาใคร ตามที่ระบุไว้ในฝอยกำกับ

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นวด ( สีผึ้ง ) ตำหรับ หลวงพ่อสังข์



                    ตลับสีผึ้ง(นวด) หลวงพ่อสังข์ มีจารหลายแบบ แต่ถ้าเป็นของแท้ดั้งเดิม ทุกตลับต้องมีจารลายมือของหลวงพ่อเอง สำหรับตลับนี้ ฝาตลับด้านนอก หลวงพ่อจารยันต์ เฑาะว์ขัดสมาธิ รอบฝาตลับ จำนวน 9 ตัว รวมกับวงกลมตรงกลางฝาตลับอีก 1 ตัว รวมเป็น 10 ตัว


                   เฉพาะรอยจารก็สุดยอดแล้ว ยันต์นี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน  ส่วนแรกด้านบนสุดหรือเศียรพระ หลวงพ่อจารยันต์ นะ ส่วนกลางต่ำลงมาหรือองค์พระ หลวงพ่อจารยันต์  มะ ส่วนล่างสุดหรือบาทพระ(พระบาท) หลวงพ่อจารยันต์  พะ ทะ ขนาบด้าน ซ้าย ขวา ด้วยยันต์ ใบพัด อันแทน มะ อะ อุ ยันต์แบบนี้เรียกกันเป็นการเฉพาะว่า ยันต์องค์พระ


ลายมือหลวงพ่อ สังข์  สุริโย


ออกวัดนากันตมแน่นอน


                 แม้แต่ก้นตลับด้านนอกก็มีรอยจาร ดังนั้น ก้นตลับด้านในก็อย่าหวังว่าจะไม่มีรอยจาร นี่แหละคือ ตลับนวดของแท้ ดั้งเดิมจริง ๆ ครับ


เฉพาะตลับนวดก็กินขาดแล้วคราวนี้มาดูข้างในตลับซิครับเพื่อน ๆ ว่ามีอะไร

                               นวด ( สีผึ้ง ) ถือเป็นเครื่องรางชนิดหนึ่ง มีอานุภาพทางเสน่ห์ เมตตามหานิยม และ คงกระพันชาตรี  นวด โดยทั่วไปนั้น หมายถึง ขี้ผึ้ง ผสมด้วยน้ำมันหอม น้ำมันจันทร์  และ    ผงยาอื่น ๆ ใส่ภาชนะหุงด้วยไฟฟืน เสกด้วยธาตุทั้ง 4 แต่ถ้าจะให้ทรงอานุภาพและเข้มขลังขึ้นไปอีกนั้น ผงยานั้นจะต้องประกอบไปด้วย ดอกมะลิซ้อน ดอกรักซ้อน ดอกกาหลง เกษรบัวทอง ใบช้อยนางรำ รากย่านาง รากลำโพงกาสลัก และ ใบไม้รู้นอน 7 อย่าง ได้แก่ ไมยราพ มะขาม แค กระถิน ชุมเห็ด ผัดกะเฉด หญ้าเกล็ดหอย ซึ่งเวลาเย็นใกล้ค่ำใบไม้เหล่านี้จะหุบเข้าหากัน เป็นส่วนผสม
                      ส่วนตำหรับของ หลวงพ่อสังข์ นั้นนอกจากจะมีส่วนผสมเบื้องต้นตามที่กล่าวมา   ข้างต้นแล้ว สิ่งที่นำมาผสมจะต้องพิเศษกว่าปกติธรรมดา กล่าวคือ
                     ขี้ผึ้ง  ขี้ผึ้งที่นำมาเป็นส่วนผสม จะต้องนำมาจากขี้ผึ้งร้างรังเท่านั้น
                     น้ำมันมะพร้าว   น้ำมันมะพร้าวที่นำมาเป็นส่วนผสม จะต้องนำมาจาก มะพร้าวแห้งคาต้น ซึ่งไม่ร่วงหล่นจากทะลายลงมา แต่จะแตกหน่อและเจริญเติบโตคายอดมะพร้าวต้นนั้น
                     น้ำมันช้างตกมัน   น้ำมันช้างตกมัน หรือชาวส่วยเรียก  กัวเผาะ ซึ่งน้ำมันช้างตกมันนี้จะมีกลิ่นคาวมาก เชื่อกันว่าเป็นสุดยอดมหาเสน่ห์ อีกชนิดหนึ่ง ถือว่าเป็นส่วนผสมสำคัญ
                    ใบโพธิ์   ผงใบโพธิ์ ซึ่งใบโพธิ์ ที่ใช้นั้น จะต้องนำมาจากวัด 9 วัด วัดละ 9 ใบ และใบที่ร่วงลงมาอยู่บนพื้นนั้นจะต้องเป็นใบที่ร่วงหล่นลงมาเอง และเมื่อถึงพื้นจะต้องเป็นใบที่หงายขึ้นเท่านั้น
                     ผงหน้าพระลักษณ์   จะต้องเป็นผงซึ่งขูดมาจากหน้าโขน ซึ่งเป็นหน้าพระลักษณ์ เท่านั้น หน้าโขนซึ่งเป็นหน้าทศกัณฐ์ หรือ หน้าพิเภก หน้าหนุมาน ใช้ไม่ได้
                     ผงวิเศษ    จะต้องเป็นผงซึ่งเกิดจากการเขียนผงลบผง 108 คาบ ของหลวงพ่อ  5   ชนิด คือ ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงมหาราช ผงพุทธคุณ และ ผงตรีนิสิงเห  นำมาเป็นส่วนผสมกับผงยาที่กล่าวถึงข้างต้นอีกทีหนึ่ง 
                     นอกจากนั้น     ก็ยังมีส่วนผสมอื่น ๆ   อีกเช่น  ไคลเจดีย์  ไคลเสมา  ตานกกรด  น้ำมันนกดุเหว่า  น้ำมันเลียงผา เป็นต้น
                     การปลุกเสก หลวงพ่อจะปลุกเสกในวันกบกินเดือน(ราหูอมจันทร์) หรือ วันเกิดจันทรคราส คือเริ่มตั้งแต่เงามืดเริ่มจับดวงจันทร์ หลวงพ่อก็จะเริ่มปลุกเสกไปจนสุดฤกษ์เมื่อเงาเริ่มคลายและดวงจันทร์กลับมาสว่างเต็มดวงดังเดิม ก็เป็นอันเสร็จพิธี ดังนั้น นาน ๆ จึงจะมีการประกอบพิธีปลุกเสกสักครั้งหนึ่ง เมื่อปลุกเสกสำเร็จ จนเป็นนวดแล้ว ก่อนจะนำใส่ในตลับของหลวงพ่อ ที่ทำไว้ หลวงพ่อยังต้องรองก้นตลับด้วย ตะกรุดสาริกาดอกเล็ก ๆ 2 - 3 ดอก  ด้ายสายสิญจน์เสก เม็ดประคำโทน ไม้ไก่กุ๊ก แผ่นทองคำเปลว  และ อื่น ๆ อีกครับ จึงไม่ธรรมดาแน่ ๆ สำหรับ นวด ( สีผึ้ง ) ตำหรับ หลวงพ่อสังข์ (ของแท้) ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเครื่องราง ที่หายากมากที่สุดอีกชนิดหนึ่งของหลวงพ่อครับ