วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

น้ำพระพุทธมนต์ ตำหรับ หลวงพ่อสังข์


พระครูอุดมวรเวท (หลวงพ่อสังข์  สุริโย)

                        เรื่องเล่า หลวงพ่อสังข์ มีอยู่มากมายหลายเรื่อง ลูกศิษย์หลวงพ่อสังข์ ใคร ๆ ก็รู้ว่า หลวงพ่อทำอะไรก็สวย ทำอะไรก็ขลัง และ ก็มักจะทำสิ่งแปลก ๆ ที่ไม่เหมือนใคร และ ไม่มีใครเหมือน อยู่บ่อย ๆ  เมื่อครั้งที่ผู้เขียนไปอยู่อำเภอกันทรลักษ์ 3 - 4 ปี ได้รู้ได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงพ่อมากมายหลายเรื่อง ครั้งหนึ่ง ชาวบ้านนากันตม อดีตทหารเกณฑ์ ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันน่าจะอายุประมาณ 65 - 70 ปี เคยบวชกับหลวงพ่อสังข์ ต่อมาลาสิกขาไปเป็นทหารเกณฑ์ เมื่อปลดประจำการแล้ว จึงไปติดตามเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อที่วัดนากันตม หลวงพ่อลงไปกรุงเทพฯ ก็ติดตามไปด้วย ได้รู้ได้เห็น ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อหลายครั้ง ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ลูกศิษย์ของหลวงพ่อ เป็นนายทหาร นายตำรวจ นายแพทย์ และพ่อค้าคหบดีเจ้าของบริษัทใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ มีมากมาย เมื่อหลวงพ่อลงมากรุงเทพ ฯ ก็มักจะไปพักที่วัดสระเกศ ที่กุฏิของพระอาจารย์บุญมี ลูกศิษย์ลูกหาก็จะคอยฟังข่าวว่า หลวงพ่อจะลงมากรุงเทพฯ เมื่อไร เมื่อทราบข่าวว่าหลวงพ่อลงมากรุงเทพ ฯ ก็จะพากันไปหาที่วัด ให้ทำพิธีต่าง ๆ  บ้างให้ช่วยรดน้ำมนต์เพื่อความเป็นศิริมงคล บ้างปรึกษาหารือให้ช่วยแก้ไขเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจต่าง ๆ บ้างให้ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ บ้างมาขอเครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล หลวงพ่อก็สงเคราะห์ไปทุกราย ปรากฏว่าได้ผลดี จึงเล่ากันปากต่อปาก ทำให้นานวันเข้ามีลูกศิษย์ลูกหา มากขึ้น โดยเฉพาะพวกคุณหญิง คุณนาย นายนายทหาร นายตำรวจ นับถือมาก จนถึงขนาด บางครั้งพากันเหมารถเป็นหมู่คณะไปทำบุญทอดกฐิน ผ้าป่า ที่วัดนากันตมกัน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ กันเลยทีเดียว

                        วันหนึ่ง ลูกศิษย์หลวงพ่อท่านนี้เล่าว่า หลวงพ่อสั่งให้เด็กวัดมาเรียกเข้าไปพบที่วัดตั้งแต่เช้า บอกให้ไปหาหม้อดินใหม่  ๆ ขนาดหม้อหุงข้าวมาให้หลวงพ่อ สัก 1 ใบ เพื่อจะทำพิธีบางอย่าง เนื่องจากจะมีคณะลูกศิษย์ซึ่งเป็นนายทหารจากกรุงเทพ ฯ จะมาพบ ในวันนี้ เขาก็ได้แต่สงสัยและแปลกใจ ว่าหลวงพ่อจะเอาหม้อดินไปทำอะไร แต่เมื่อหลวงพ่อสั่งก็ต้องไปหามาและก็ไม่กล้าที่จะถาม ซึ่งเมื่อ 30 ปีก่อน หม้อปั้นดินเผาก็หาซื้อไม่ยาก มีขายกันอยู่ทั่วไปตามชนบท เมื่อได้หม้อดินมาแล้ว หลวงพ่อก็สั่งให้ไปตัดใบตองกล้วยที่ปลูกอยู่มากมายหลังวัดมาสัก 2 - 3 ก้าน ตัดเอาก้านออกให้เหลือแต่ใบ เตรียมไว้ ช่วงนั้นเห็นหลวงพ่อนั่งหั่นพวกหัวว่านชนิดต่างๆ ที่หลวงพ่อปลูกเอาไว้โดยหั่นออกเป็นแว่นเล็ก ๆ  เสร็จแล้วหลวงพ่อใส่ไว้ในพานและยกขึ้นแนบอก ทำพิธีปลุกเสกตามวิธีการของหลวงพ่ออยู่นานพอสมควร ต่อมา สักประมาณก่อนเพล คณะลูกศิษย์จากกรุงเทพ ฯ ก็มาถึง พากันนำข้าวปลาอาหารมาถวายหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อฉันเพลเสร็จแล้ว แต่ละคน ก็ขอให้หลวงพ่อ ช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ บางคนก็ขอให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน บางคนก็ขอให้ชนะคดีความ บางคนก็จะไปต่างประเทศให้เดินทางแคล้วคลาด ปลอดภัย เป็นต้น

                        ต่อมาหลวงพ่อสั่งให้ผู้เล่า ไปก่อไฟต้มน้ำโดยใช้ไม้ฟืนตามธรรมชาติซึ่งมีอยู่มากมายในสมัยนั้น เสร็จแล้วสั่งให้ลูกศิษย์แต่ละคนเขียนชื่อนามสกุลและวันเดือนปีเกิดของตัวเองลงในใบกล้วยที่เตรียมไว้ เมื่อครบทุกคนแล้วหลวงพ่อสั่งให้ผู้เล่า ใส่น้ำลงไปในหม้อดินจนเกือบเต็มหม้อ และก็ให้นำว่านยาชนิดต่าง ๆ ที่หั่นไว้แล้วพร้อมทั้งปลุกเสกเรียบร้อย ใส่ลงไปในหม้อ ซึ่งผู้เล่าบอกว่า มีกลิ่นหอมเย็นจากหัวว่านที่หั่นเป็นแว่น ๆ โชยมาติดจมูกเลยทีเดียว จากนั้นหลวงพ่อสั่งให้นำใบกล้วยไปครอบปากหม้อดิน และใช้ตอกไม้ไผ่มัดใบกล้วย ให้ติดกับปากหม้ออย่างแน่นหนา หลวงพ่อเป็นคนใช้นิ้วกรีดใบกล้วยให้แตกเป็นแนวยาวเพื่อจะให้ไอน้ำจากหม้อระเหยออกมาภายนอกได้ แล้วก็ยกขึ้นตั้งไฟ

                       ชั่วอึดใจ น้ำก็เดือดพล่านส่งกลิ่นหอมของว่านยาคะคลุ้งไปทั่ว ซึ่งทุกคนก็สัมผัสได้ในความหอม หลวงพ่อสั่งให้ผู้เล่าไปเอาถาดสังกะสีในครัวออกมา ยกหม้อดินลงจากเตาไฟแล้วแก้มัดใบกล้วยออกชั่วครู่ก็เทน้ำออกจากหม้อดินลงไปในถาดจนหมด ทิ้งไว้รอให้เย็น ระหว่างนั้นหลวงพ่อก็พูดคุยทำนายทายทักคณะลูกศิษย์ที่มาพบจนครบทุกคน จากนั้นก็บอกให้ทุกคนเข้ามานั่งใกล้ ๆ จะทำพิธีรดน้ำมนต์ให้ ต่อจากนั้นสิ่งที่ทุกคนได้เห็นก็คือ หลวงพ่อนำหม้อดินใบนั้น คว่ำปากหม้อลงบนถาดสังกะสีที่มีน้ำซึ่งเทออกมาจากหม้อ ซึ่งมีอยู่ประมาณครึ่งถาดสังกะสี จากนั้น หลวงพ่อก็หลับตาร่ายมนต์พร้อมกับใช้มือขวาเคาะเบา ๆ เป็นจังหวะลงไปที่ก้นหม้อดิน สิ่งที่ทุกคนรวมทั้งผู้เล่าได้เห็นและตกตะลึง ก็คือ น้ำมนต์ในถาดสังกะสี ค่อย ๆ ถูกดูดกลับคืนเข้าไปในหม้อได้เองโดยได้ยินเสียงฟองอากาศดังฟอด ๆ ๆ ๆ ชัดเจน หลวงพ่อก็ร่ายมนต์และเคาะก้นหม้อเป็นจังหวะไปเรื่อย ๆ จนน้ำมนต์หมดถาดสังกะสี ทั้ง ๆ ที่หม้อดินก็คว่ำอยู่ เมื่อหลวงพ่อจับหม้อดินหงายปากหม้อขึ้นก็เห็นน้ำมนต์กลับคืนเข้าไปอยู่ในหม้อดินจนเกือบเต็มเท่าเดิมเป๊ะ

                       หลังจากนั้นก็สั่งให้ผู้เล่าเอาน้ำมนต์จากหม้อดินไปเทผสมน้ำธรรมดาในอ่างน้ำมนต์ขนาดใหญ่พอสมควรที่ตั้งอยู่ในบริเวณนั้น แล้วตักใส่ขันน้ำมนต์มาพอประมาณเพื่อให้หลวงพ่อได้ประพรมให้ลูกศิษย์กลุ่มนั้นจนครบทุกคน ส่วนใครจะเอาไปบูชาที่บ้านหลวงพ่อก็ไม่ขัดข้อง แต่ให้หาภาชนะใส่กันเอาเอง 

                       นายทหารใหญ่ท่านหนึ่งในกลุ่มนั้นมาพร้อมคุณนาย ท่านแปลกใจมาก ได้เรียกผู้เล่าไปถามว่า ติดตามหลวงพ่อมานานหรือยัง เมื่อตอบว่านานแล้วจึงถามต่ออีกว่า เคยเห็นหลวงพ่อทำน้ำมนต์ลักษณะนี้หรือเปล่า ซึ่งผู้เล่าก็ตอบว่าไม่เคยเห็น ก็เพิ่งจะเห็นครั้งแรกพร้อมกับท่านนี่แหละ นายทหารท่านนั้นก็ถามต่ออีกว่า หม้อดินใบนี้เป็นของหลวงพ่อทำขึ้นมาใช้เองหรือ ผู้เล่าตอบว่า ไม่ใช่ เพราะตัวเขาเพิ่งจะไปหาซื้อมาจากตลาดอำเภอกันทรลักษ์เมื่อเช้าวันนี้เอง แต่ท่านก็ยังไม่หายสงสัยข้องใจ เพราะท่านรำพึงพอให้ได้ยินว่า หลวงพ่อต้องเล่นกลหรือไม่ก็คงอาศัยหลักวิทยาศาสตร์อย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน กลับไปบ้านเขาจะต้องไปทำการทดลองทำแบบหลวงพ่อดู แล้วคณะก็พากันกลับไปกรุงเทพ ฯ

                       หลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์นายทหารคนดังกล่าว ได้กลับมาที่วัดนากันตมอีก คราวนี้มากันสามคนกับนายทหารคนสนิทและคนขับรถ มาตั้งแต่เช้านำอาหารคาวหวานหลายชนิด รวมทั้งผลไม้ชนิดต่าง ๆ ขนมาจากกรุงเทพฯ มาถวายหลวงพ่อ และถือโอกาสคุยกับหลวงพ่ออยู่เป็นเวลานาน คงจะฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อไปแล้ว ผู้เล่า มองดูอยู่ห่าง ๆ แต่ไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกับหลวงพ่อบ้าง เห็นแต่ หลวงพ่อล้วงเอาเครื่องราง ของขลัง จากย่ามให้นายทหารคนนั้นไป 2 -3 อย่าง แต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร   ก่อนกลับ นายทหารคนนั้น เดินมาหาผู้เล่า พูดเบาๆ พอได้ยินว่า หลวงพ่อสังข์ องค์นี้ พลังจิตและเวทมนต์คาถาอาคมช่างแก่กล้ายิ่งนัก สามารถเรียกน้ำมนต์กลับเข้าไปอยู่ในหม้อดินได้เอง ด้วยการบังคับของสมาธิจิต เขาไปทดลองทำดูที่บ้าน ทั้งตบทั้งเคาะไปที่ก้นหม้อดินจนแตกไป 3 ใบ น้ำก็ไม่ไหลกลับเข้าไปในหม้อแม้เพียงสักหยดเดียว และก็สารภาพกับผู้เล่าว่า ที่มาคราวนี้ เพื่อกลับมากราบขอขมาหลวงพ่อที่เขาเคยคิดอคติกับหลวงพ่อในทางไม่ดีมาก่อน เพราะเคยคิดว่าหลวงพ่อองค์นี้อาจจะหลอกลวงเอาเงินญาติโยมมาใช้ส่วนตัวโดยไม่ได้สร้างวัดจริง และ เก่งอย่างไรหนอ คนถึงนิยมเข้าหายิ่งนักรวมทั้งคุณนายของท่านเองด้วย  จึงได้ตามคณะของคุณนายเพื่อมาพิสูจน์ให้ได้เห็นของจริง ซึ่งเขาก็รู้สึกสังหรณ์ใจตั้งแต่ตอนก่อนที่หลวงพ่อจะทำพิธีเรียกน้ำมนต์กลับเข้าไปในหม้อ ว่า หลวงพ่ออาจจะหยั่งรู้ว่าตัวเขาคิดไม่ดีกับหลวงพ่อ ซึ่งก็จริง ได้แต่แปลกใจว่าหลวงพ่อทราบได้อย่างไรเพราะไม่เคยเล่าให้ใครฟัง วันนั้น หลวงพ่อสั่งให้ทุกคนเข้ามานั่งใกล้ ๆ โดยเฉพาะชี้มาที่ตัวเขาให้เข้ามานั่งข้างหน้า  เมื่อได้เห็นด้วยตา นายทหารท่านนั้นถึงกับออกปากชมหลวงพ่อให้ผู้เล่าฟังว่า หลวงพ่อท่านมีพลังจิตอยู่ในระดับสูง ไสยเวทย์แก่กล้ามาก คงจะทราบด้วยญาณอย่างใดอย่างหนึ่งว่าท่านมีความสงสัย ข้องใจ ต้องการมาพิสูจน์ จึงแสดงให้เห็นเสียเลย

                       ส่วนพลังจิตและวิชาอาคมทางด้านไสยเวทย์ของหลวงพ่อสังข์ จะอยู่ในระดับใดหรือสูงส่งแค่ไหน อย่างไร นั้นไม่มีใครทราบ อีกทั้งหลวงพ่อก็ไม่เคยคุยโอ้อวดให้ใครฟัง สมัยก่อนแถบทางอีสานใต้ ติดชายแดนเขมร มีชาวเขมร ชาวส่วย ที่ร่ำเรียนวิชาฝ่ายมนต์ดำมีเป็นจำนวนมาก บางคนร้อนวิชา ถึงขั้นมีการปล่อยคุณไสย ลมเพลมพัด บังฟัน เสกหนังควายเข้าท้อง เพื่อลองวิชากันอยู่บ่อย ๆ เคยมีคนมาลองวิชาหลวงพ่ออยู่หลายครั้ง แต่ก็ทำอะไรหลวงพ่อไม่ได้ สุดท้ายโดนวิชาของตัวเองย้อนกลับเข้าตัว แทบเอาชีวิตไม่รอด ต้องมากราบขอขมาหลวงพ่อให้ช่วยแก้ไขให้ ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องถึงขั้นเสียชีวิตเลยทีเดียว




                        ดังนั้น หลวงพ่อจึงสร้างรูปปั้นท้าวเวสสุวรรณยืนถือกระบองตั้งตระหง่านอยู่ปากทางเข้าประตูวัด พร้อมกับเขียนป้ายเพื่อเตือนสติผู้ไม่หวังดีทั้งหลาย ก่อนเข้าไปในวัดว่า มาดีมีชัย มาดีมีโชค มาร้ายยักษ์กิน ซึ่งรูปปั้นนั้นก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่เท่าทุกวันนี้


วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อีเป๋อ 1


                    อีเป๋อ  เนื้อโลหะผสม ฝีมือการแกะบล็อค สร้าง และปลุกเสกโดย หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ


                        ฝีมือการแกะบล็อค ค่อนข้างแกะได้ละเอียด เหมือนจริง ไม่ว่าจะเป็นลักษณะ สีหน้า  ท่าทาง หน้าอก ทรวดทรง องค์เอว นิ้วมือ นิ้วเท้า เส้นสาย  สรีระส่วนต่าง ๆ รวมทั้งเส้นผม และ ดอกไม้ที่ทัดหู ถ้านับเวลาย้อนหลังกลับไป ประมาณ 30 กว่า ปีก่อน แกะบล็อคได้ระดับนี้ ต้องถือว่าเป็นสุดยอดฝีมือการแกะบล็อคเลยทีเดียว


                        หลวงพ่อลงเหล็กจารทั้งตัว ตั้งแต่ศรีษะ หน้าผาก แก้มทั้งสองข้าง หน้าอก แขนทั้งสองข้าง หลังมือ หน้าท้อง แผ่นหลัง ไล่ลงมาจนถึงก้น หว่างขา หัวเข่า ขาทั้งสองข้าง รวมทั้งใต้ฝ่าเท้า เท่าที่ผมดูส่วนใหญ่ที่ลงจะเป็น นะมหานิยม ซึ่งลงไว้หลายจุด อย่างภาพนี้ เห็นชัด ๆ ที่หน้าอก


                          ที่หน้าท้องตรงสะดือ ผมสังเกตุเห็นว่าหลวงพ่อลงเป็นยันต์ นะลิ้นทอง ซึ่ง นะตัวนี้ ถือว่าเป็นเสน่ห์ เมตตา มหานิยมดีนักแล ส่วนยันต์ที่เข่าทั้งสองข้าง ผมดูไม่ออก เพราะสึกไปเยอะ เนื่องจากถูกใช้มาอย่างโชกโชน


                                                    
ที่ต้นแขนซ้าย ลงยันต์ อุนาโลม ยังพอเห็นชัดอยู่


ที่แก้มขวาลงยันต์ นะมหานิยม แถมมีดอกไม้ทัดหูอีกต่างหาก


หลวงพ่อใส่ห่วงคู่ด้านหลัง เขย่าดูหลวงพ่อไม่ได้ฝังเม็ดกริ่ง


สังเกตุเห็นรอยเหล็กจารที่ต้นแขนชัดเจน


                 ภาพเครื่องราง ที่ผมแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ได้ชมนั้น ขออย่าให้มองว่าเป็นภาพน่าเกลียดหรือลามกอนาจาร แต่ขอให้มองว่าเป็น ศิลปะ เป็นภาพของ วัตถุมงคล เครื่องราง ของขลัง ชนิดหนึ่ง  ดังคำพูดของ รศ.นิพัทธ์ จิตรประสงค์ เจ้าของหนังสือ อาณาจักร เครื่องราง ของขลัง อันโด่งดังตลอดกาล ว่า ........พวกปลัดขิก อีเป๋อ ม้าเสพนาง อิ้น อะไรทำนองนี้ โปรดอย่าไปมองแบบเซ็กส์ มันไม่ใช่ โบราณไม่ได้สร้างมาเพื่ออย่างว่านั้น แต่เน้นไปทางเมตตา ค้าขาย เสียมากกว่า ทุกอย่างมีที่มา ........อย่างม้าเสพนางของทางเหนือก็มีตำนานบอกเล่าที่มา จะเป็นนิทาน นิยายก็เป็นที่มา ไม่ใช่นึกจะสร้างก็ทำขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าจะเล่นเครื่องราง ต้องมองว่า นี่คือเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดอะไร........  



                   ส่วนทางด้านพุทธคุณนั้นใช้ทางด้านมหาเสน่ห์ เมตตา มหานิยม เด่นยิ่งนัก  อีกทั้งค้าขาย เจรจาพาที และคดีความก็ไม่เป็นรองใคร แต่ก็หาของได้ยากยิ่งนัก หลวงพ่อน่าจะสร้างไว้เพียงไม่กี่ตัว เจอที่ไหนให้รีบคว้าไว้ซะ อย่าปล่อยให้เธอลอยนวลไปเป็นอันขาด ขอบอก