วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ศิษย์เอก (ฆราวาส) คนสุดท้ายของ หลวงพ่อสังข์ สุริโย

                      สิ้นแล้ว เฮียหยวย สันติยนต์ ( นาย สุรวัช  โรจนจำรัส ) ศิษย์เอก (ฆราวาส) คนสุดท้าย ของ พระครูอุดมวรเวท ( สังข์  สุริโย ) วัดนากันตม ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อ วันที่  21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557  และ ได้ทำการฌาปนกิจศพ ไปแล้ว เมื่อวันที่  27 พฤศจิกายน  2557 ที่ วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม พระอารามหลวง ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ศิษย์สุริโย ได้ทราบข่าวมานานแล้วว่า เฮียหยวยได้ป่วยเป็นโรคไตพิการ ต้องเข้ารับการฟอกไตเป็นประจำ ที่โรงพยาบาลจังหวัดศรีสะเกษ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานหลายปี ในที่สุด ท่านก็ได้จากไปอย่างสงบด้วยอาการภาวะหัวใจล้มเหลว สิริรวม อายุ 81 ปี ในงานญาติ ๆ ได้แจกของที่ระลึกงานฌาปนกิจ เป็นผ้ายันต์พระพุทธนิมิตร ผืนสีแดง จำนวนหนึ่งไม่มากนักให้แก่แขกคนสำคัญที่ไปร่วมในพิธี โดยบรรจุอยู่ในซองพลาสติค พับไว้อย่างเรียบร้อยสวยงามตามภาพ



                    ศิษย์สุริโย ได้ไปร่วมงานฌาปนกิจในวันนั้นด้วย บังเอิญโชคดี ได้รับของที่ระลึกดังกล่าวกับเขาด้วย พอมองทะลุซองพลาสติคเข้าไปก็เห็นตัวหนังสือพิมพ์ใต้ยันต์แถวแรกพิมพ์ว่า พระครูอุดมวรเวท หลวงพ่อสังข์  สุริโย  แถวที่สองต่ำลงมาพิมพ์ว่า วัดนากันตม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และแถวสุดท้ายที่สามต่ำลงมาอีกพิมพ์ว่า ธันวาคม  2520 ก็เลยได้ทราบว่า เป็นผ้ายันต์พระพุทธนิมิตร รุ่นที่สอง ที่หลวงพ่อได้สร้างบล็อคขึ้นมาใหม่ โดยได้ใส่ เดือน และ ปี ที่สร้างกำกับไว้ด้วย 




                   เมื่อเปิดซองพลาสติคและคลี่ผ้ายันต์ออกมาดูก็ต้องตกตะลึง เมื่อสังเกตุเห็นรอยตำหนิของผ้ายันต์ ซึ่งเกิดจากรอยชำรุด ของบล็อค ตรงบริเวณหน้าอกซ้ายของรูปองค์พระตรงจุดเส้นยันต์ตัดกัน(ตามรูป) อย่างชัดเจน เนื่องจากผ้ายันต์บล็อคนี้ หลวงพ่อได้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 ได้ทำการพิมพ์ออกมาแจกจ่ายทำบุญกันหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 2520 จนครั้งสุดท้าย ปี 2526 โดยมีเฮียหยวย เป็นคนรับคำสั่งจากหลวงพ่อให้หาผ้าเป็นไม้ไปตัดให้ได้ขนาด และมีเฮียนิจ จากโรงพิมพ์ศรีสะเกษการพิมพ์ เป็นคนพิมพ์ เสร็จแล้วนำไปให้ หลวงพ่อสังข์ เป็นคนปลุกเสกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะแจกจ่ายให้ลูกศิษย์ทำบุญกันต่อไป เนื่องจากมีการพิมพ์กันหลายครั้ง แต่ละครั้งก็มีจำนวนหลายร้อยหลายพันผืน จึงทำให้บล็อคชำรุด ทำให้เกิดรอยตำหนิในพิมพ์ ซึ่งเกิดจากคราบหมึกพิมพ์ที่แห้งและเกาะติดกับบล็อคแล้วล้างไม่ออก โดยเฉพาะถ้าเป็นจุดนี้ จะเป็นครั้งสำคัญ เพราะว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่หลวงพ่อสังข์ สั่งให้เฮียหยวย ศิษย์เอกเป็นคนทำก่อนที่หลวงพ่อจะละสังขาร ในปี พ.ศ. 2526 ไม่กี่วัน เฮียหยวยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า หลวงพ่อสังข์ปลุกเสกอัดพลังพุทธาคมให้อย่างเต็มที่แบบทิ้งทวน เหมือนหลวงพ่อจะทราบอนาคตว่า จะปลุกเสกวัตถุมงคลรุ่นนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วหลวงพ่อก็จะละสังขาร จึงทำให้ศิษย์เอกเป็นพิเศษโดยปลุกเสกที่เตียงอาพาธโรงพยาบาลจังหวัดศรีสะเกษนั่นเอง ไม่ได้ปลุกเสกที่วัดแต่อย่างใดและที่น่าแปลกประหลาดที่สุดก็คือ ไม่มีใครคาดคิดว่าผ้ายันต์รุ่นนี้จะได้ถูกนำไปแจกเป็นของที่ระลึกในงานฌาปนกิจศพของทั้ง หลวงพ่อสังข์ และเฮียหยวย (ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์) ในเวลาต่อมา ดังนั้นใครมีผ้ายันต์ของหลวงพ่อสังข์ ก็รีบคลี่ออกมาดูซะ ถ้ามีรอยตำหนิตามนี้ ก็ถือว่าท่านเป็นผู้ที่โชคดีมากที่สุดคนหนึ่งทีเดียว ที่ได้ครอบครองสุดยอดวัตถุรุ่นสุดท้ายของหลวงพ่อ โดยไม่คาดฝัน ดูประวัติการสร้างวัตถุมงคลรุ่นสุดท้าย ที่คลังข้อมูลของบทความด้านขวามือเลยครับ (บทความบทนี้ ศิษย์สุริโย ได้เขียนไว้เมื่อ วันที่ 12 สิงหาคม 2556 ซึ่งตอนนั้น เฮียหยวย ยังสุขภาพแข็งแรงอยู่เลยครับ)

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประคำไม้ 108


                         ประคำไม้ 108 เม็ด หลวงพ่อสังข์  สุริโย วัดนากันตม บ้านนากันตม ตำบลสังข์เม็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เม็ดประคำ แบ่งออกเป็นเม็ดประคำไม้ชนิดต่าง ๆ จำนวน 107 เม็ด เม็ดประคำผง จำนวน 1 เม็ด รวมเป็น 108 เม็ด ไม่รวมยอดประคำ



                          เม็ดประคำไม้ ชนิดต่าง ๆ รวมกัน 107 เม็ด สร้างโดยใช้เครื่องกลึงทีละเม็ดอย่างสวยงาม รูปทรงไม่เหมือนกันและขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกันไปในแต่ละเม็ด แต่ทุกเม็ด เคลือบไว้ด้วยยางไม้ชนิดหนึ่ง เพื่อรักษาสภาพความคงทนถาวรของเนื้อไม้



                          ยอดประคำ เป็นรูปทรงกลมยาวคล้ายนิ้วหัวแม่มือ ขนาดยาวประมาณ 2 นิ้ว เข้าใจว่าข้างในน่าจะเป็นตะกรุดโทนม้วนกลมทำเป็นแกน พอกไว้ด้วยผงวิเศษชนิดหนึ่ง แล้วใช้เชือกถักหุ้มไว้ เสร็จแล้วทาเคลือบไว้ด้วยยางไม้อีกชั้นหนึ่ง ส่วนตรงกลางเจาะรูไว้ขนาดใหญ่พอสมควร เพื่อร้อยเชือกประคำที่ทำด้วยเชือกสายร่ม


                          เม็ดประคำผง ซึ่งมีเพียงเม็ดเดียวในพวง ปั้นกลมแต่มีความเกร่งมาก สังเกตุดูผงแล้วขุขระไม่ละเอียดมาก เข้าในว่า น่าจะเป็นผงว่านชนิดต่าง ๆ ผสมไคลเสมาก็อาจจะเป็นได้


                          เม็ดประคำไม้เม็ดนี้ ไม่ทราบว่าเป็นไม้อะไร ร้อยติดยู่กับเม็ดประคำผง สังเกตุดู จะเห็นมีรอยลงเหล็กจารยันต์ นะ 1 ตัว


                          ส่วน เม็ดประคำไม้  2 เม็ดนี้ ไม่ทราบชนิดไม้เช่นกัน หลวงพ่อสังข์ จารยันต์ นะ ไว้เม็ดละตัว สร้อยประคำทั้งเส้น มีรอยจารยันต์ นะ ไว้เพียงแค่ 3 เม็ด เท่านั้น


                          ประคำไม้ ทั้ง 3 เม็ดนี้ จะสังเกตุเห็นสีของเนื้อไม้ และ ความละเอียดของเนื้อไม้แตกต่างกัน อย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ เม็ดที่ 1 ความละเอียดของเนื้อไม้ละเอียดปานกลาง แต่สีของเนื้อไม้เข้มจัด เม็ดที่ 2 ความละเอียดของเนื้อไม้มีน้อยมากผิวของเนื้อไม้เรียกได้ว่าขุขระ และสีของเนื้อไม้ไม่มีความเข้ม แต่ออกขาวปนเทา เม็ดที่ 3 เนื้อไม้มีความละเอียดมากที่สุด ในจำนวน 3 เม็ด แต่สีของเนื้อไม้มีความเข้มในระดับปานกลาง นี่คือความแตกต่างที่เห็นได้ชัด ในจำนวนแค่ 3 เม็ด เท่านั้นนะ และเม็ดอื่น ๆ ก็มีความแตกต่างกันออกไปอีกทั้งชนิด สี และความละเอียดของเนื้อไม้


                          เชือกที่ร้อยสร้อยประคำ เป็นเชือกสายร่ม มีความเหนียวและทนทานมากพอสมควร หลวงพ่อถักร้อยเป็นอย่างดี แถมเก็บปลายเชือกไว้อย่างมิดชิดเรียบร้อยไม่โผล่มาให้เห็นให้เป็นที่รำคาญสายตาอีกต่างหาก


                          ลายถักหุ้มตะกรุดและผงไว้หลวงพ่อสังข์ ก็ถักอย่างประณีตมาก ถักลายได้สวยงามแน่นหนา คงทนถาวรมาก

                          ส่วนชนิดของไม้ ที่นำมาทำเป็นเม็ดประคำนั้น ผู้เขียนไม่มีข้อมูลจริง ๆ ว่าใช้ไม้ชนิดใดบ้าง และไม้แต่ละชนิด มีจำนวนกี่เม็ด เท่าที่ทราบคร่าว ๆ ก็น่าจะมีไม้ ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ หนาด ชุมแสงโทน คันทรง กาฝากต้นพระศรีมหาโพธิ์ และ ไม้เท้ายายหม่อม ฯ ล ฯ เป็นต้น

                          ขอขอบคุณผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ที่ได้มอบภาพถ่ายเครื่องรางชิ้นนี้ให้เผยแพร่ เพื่อเป็นวิทยาทานครับ

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แม่เป๋อ


                       แม่ เป๋อ เนื้อผงพุทธคุณ ผสมครั่ง จุ่มรัก ปิดทองทั้งองค์ ฝีมือการสร้างและปลุกเสกเดี่ยวโดย ราชาเครื่องรางแดนอีสานใต้นาม หลวงพ่อสังข์  สุริโย วัดนากันตม ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ พิมพ์นี้แหละครับที่ ศิษย์สุริโย เห็นควรเรียกว่า แม่เป๋อ ได้ อย่างถูกต้องลงตัวที่สุด เพราะว่าลักษณะท่าทางหลวงพ่อออกแบบเน้นให้เห็นว่า เป็นลักษณะของแม่ที่กำลังคลอดลูกสังเกตุหน้าตาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดอย่างแสน สาหัส กำลังเม้มปากใช้แรงเบ่งเพื่อให้ลูกคลอดออกมาจากช่องคลอด ท่านั่งยอง ๆ ชันเข่า ใช้มือทั้งสองข้างจับที่ข้อเท้าทั้งสองเพื่อให้ถนัดในการใช้แรงเบ่งได้อย่างเต็มที่ครับ


                         ด้านหลังฝังห่วง บิดเกลียว 2 รอบ มียันต์ในตัวเห็นเลือนราง ฝังกริ่งเสียงดังกังวาล                     


                      หน้าตาบ่งบอกว่าไม่ใช่หญิงสาว แต่เป็นหญิงสูงวัยมีอายุ สังเกตุจากมวยผมที่เกล้าสูงรวบขึ้นไปมัดไว้บนกลางศรีษะ อีกทั้งหน้าอกทั้ง 2 ข้างหย่อนยาน น่าจะผ่านการมีลูกมาก่อนหน้านี้แล้ว ท้องก็มีลักษณะเป็นหญิงตั้งครรภ์ จึงชี้ชัดว่าเป็นแม่แน่นอน  ส่วนทางด้านพุทธคุณนั้น ในมติของโบราณจารย์ทางไสยศาสตร์กล่าวว่า
โลกนี้จะหาความรักใดที่บริสุทธิ์และปราศจากเงื่อนไขแลกเปลี่ยนเท่าความรักของผู้เป็นมารดาซึ่งมีต่อบุตรไม่
                   ดังนั้น โบราณจารย์ จึงได้กำหนดเครื่องรางในลักษณะดังกล่าวนี้ เป็นเครื่องรางที่ให้ผลทางแก้อาถรรพ์ เพิ่มพลังแห่งโชคลาภ  เมตตามหานิยม และ เพิ่มพลังแห่งความสำเร็จ ความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนั้นยังให้ผลทาง ปกป้องคุ้มครองป้องกันภัย ให้แคล้วคลาดจากภยันตรายต่างๆ (ดุจมารดาที่พร้อมจะคอยปกป้องคุ้มครองบุตรอยู่ เสมอโดยที่ไม่ห่วงว่าตนจะได้รับอันตรายหรือไม่)โดยไม่ได้เน้นทางด้านเสน่ห์หรือดึงดูดเพศตรงข้ามเหมือน อีเป๋อ ซึ่งเป็นสาวสวยนั่งถ่างขาโชว์อวัยวะเพศ จึงนับได้ว่าแม่เป๋อเป็นเครื่องรางอีกชิ้นหนึ่งซึ่งมีอิทธิคุณไม่เป็นรองใครหรือวัตถุมงคลอื่นใดทั้งสิ้น
                    
ขอขอบคุณผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ที่ได้มอบภาพถ่ายแม่เป๋อให้ทำการเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานครับ (เครื่องรางชิ้นนี้ ผู้เป็นเจ้าของ พกพาโดยใส่ไว้ในกระเป๋าลับด้านในเสื้อสูทรบริเวณหน้าอก อีกทั้งพกติดตัวเป็นประจำทุกวันที่ออกไปทำงานครับ)


วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

นางสิกขี & อีเป๋อ

                       วันนี้ อยากจะนำเสนอความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง การเรียกชื่อเครื่องรางชนิดหนึ่ง ของ หลวงพ่อสังข์ ในประเด็น ความแตกต่างระหว่าง การเรียกว่า นางสิกขี กับ การเรียกว่า อีเป๋อ ตามความคิดเห็นของ ศิษย์สุริโย ให้เพื่อน ๆ ช่วยกันพิจารณานะครับ 
                                                             
                       คำว่านาง ประการแรกการที่จะเรียกว่านาง จะต้องเป็นผู้หญิงแน่ ๆ ครับ แต่ในแง่เครื่องราง ของขลัง ของหลวงพ่อสังข์นั้น น่าจะหมายถึงนางในวรรณคดีครับ ซึ่งการที่จะเป็นนางในวรรณคดีนางใดนางหนึ่ง จะต้องมีเครื่องทรงเป็นส่วนประกอบครับ แต่ที่จะกล่าวถึงในที่นี้เจาะจงเฉพาะบริเวณใบหน้า หรือที่เรียกกันว่า หน้านาง ครับ

นี่คือลักษณะและส่วนประกอบของหน้านางในวรรณคดี

 ส่วนประกอบอันแรก เรียกว่า กรอบหน้า


                   กรอบหน้าในที่นี้ หมายถึง เครื่องประดับศรีษะ รูปมงกุฎอย่างเตี้ย มีขอบหน้าผากเป็นรูป กระจัง

              ประการที่สอง เรียกว่า กรรเจียก หรือ จอนหู




                 เป็นเครื่องประดับหู ซึ่งจะต้องจำหลักลายสวยงาม ประดับหูทั้งด้านซ้ายและด้านขวา

           ประการที่สาม เรียกว่า กรองศอ หรือนวมนาง ครับ




               เป็นเครื่องประดับคอ หรือที่เราเรียกกันว่า สร้อยคอ นั่นเองครับ 
               เมื่อมีองค์ประกอบ บริเวณใบหน้าและลำคอ ครบ 3
 อย่างเราจึงเรียกกันว่า หน้านาง ครับ

               คราวนี้ มาดูเครื่องราง ของขลัง ของหลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม ซึ่ง ศิษย์ สุริโย เรียกว่า นางสิกขี พิมพ์ต่าง ๆ บ้างครับ




              องค์ที่ 1 นางสิกขี (ทรงเครื่อง) หลังเรียบโค้ง



          องค์ที่ 2 นางสิกขี (ทรงเครื่อง) หลังยันต์ ไม่มีห่วง



             องค์ที่ 3 นางสิกขี (เปลือย) หลังยันต์ ห่วงหลัง



              องค์ที่ 4 นางสิกขี (เปลือย) หลังยันต์ ห่วงบน



                   องค์ที่ 5 นางสิกขี (เปลือย) หลังยันต์ นะ

               นางสิกขี พิมพ์ต่าง ๆ ทั้ง 5 องค์ นั้น จะเห็นได้ว่า มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ กรอบหน้า จอนหู (กรรเจียก) และ กรองศอ (นวมนาง) แต่บางพิมพ์ กรองศอ หรือสร้อยคอ อาจจะซ่อนไว้หรือกดพิมพ์ แล้วไม่ติดหรือติดไม่ชัด จึงมองไม่เห็น แต่อย่างน้อยก็มี องค์ประกอบที่เด่นชัด ถึง 2 ใน 3 ส่วน อีกทั้ง ลักษณะหน้าตาก็ใม่ใช่หญิงธรรมดา แต่บ่งบอกถึงความเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ จึงสมควรเรียกทั้ง 5 องค์ ว่า นางสิกขี ไม่สมควรเรียกว่า อีเป๋อ เป็นอันขาด แม้ว่าจะเป็นพิมพ์เปลือย มองเห็นเครื่องเพศก็ตาม จากการสังเกตุของผู้เขียน องค์ที่ 1 และองค์ที่ 2 เห็นเรียกกันว่า นางสิกขี ก็ถูกต้องแล้ว แต่องค์ที่ 3, 4 และ 5 กลับไปเรียกกันว่า อีเป๋อ ซึ่งผู้เขียนกลับเห็นต่าง เนื่องจาก ทั้ง 3 องค์หลัง มีองค์ประกอบและลักษณะของหน้านางครบ

              ส่วนพิมพ์ที่ ศิษย์สุริโย เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่จะให้เรียกเธอว่า อีเป๋อ หรือ คุณอีเป๋อ นั้นลักษณะต้องเป็นผู้หญิงชาวบ้านธรรมดา ๆ และหน้าตาต้องแบบนี้ครับ



                 จะเห็นได้ว่า คุณอีเป๋อ  เธอนั่งถ่างขา ลอยหน้าลอยตาเป็นลำตัดแม่ประยูร แถมหลับตาพริ้มโชว์เครื่องเพศเต็มที่ บริเวณศรีษะ ใบหน้า และลำคอ ก็ไม่มีเครื่องประดับใด ๆ ที่จะเข้าองค์ประกอบของการเป็นนางในวรรณคดีนางใด  ทั้งสิ้น ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอาภรณ์ใด ๆ เป็นเครื่องสรวมใส่ นอกจากดอกไม้ที่ทัดหูเบื้องขวาเพียงดอกเดียวเท่านั้น อย่างนี้เรียกไปเลยครับ จะเรียกว่า อีเป๋อ หรือ คุณอีเป๋อ ก็แล้วแต่สะดวก แต่บางท่านเรียกแบบให้เกียรติิว่า แม่เป๋อ แต่ผู้เขียนก็คิดว่า ไม่น่าจะเรียกนะครับ เพราะว่าเครื่องรางที่สมควรเรียกว่า แม่เป๋อ ของหลวงพ่อสังข์ ยังมีอีก วันหลังจะค้นคว้าข้อมูลภาพถ่ายมาเผยแพร่ให้เพื่อน ๆ ได้ทราบ

                  เพื่อน ๆ ครับ ในฐานะที่พวกเราเป็นลูกศิษย์ ของหลวงพ่อสังข์ สมควรที่จะให้เกียรติหลวงพ่อในการเรียกชื่อ เครื่องราง ของขลัง แต่ละอย่างให้ถูกต้อง หรือให้ใกล้เคียงกับที่ควรจะเป็น หลวงพ่อมรณะภาพแล้ว ไม่ได้อยู่ให้ถาม อีกทั้งเครื่องรางของหลวงพ่อก็มีมากมาย หลายสิบชนิด บางคนบอกว่าอาจจะถึง ร้อยชนิด ก็เป็นได้ และปัจจุบันจะหาคนที่เก่งจริง ๆ เกี่ยวกับเรื่อง เครื่องราง ของขลัง ของหลวงพ่อสังข์ นั้นยากมากหรือแทบจะเรียกว่าไม่มีเอาเสียเลย พวกเราที่เป็นลูกศิษย์จึงควรช่วยกันค้นคว้าหาข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมให้มาก ให้รอบด้าน เพื่อนำมาเป็นส่วนประกอบ ในการเรียกชื่อเครื่องรางแต่ละอย่าง ได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับชื่อที่ควรจะเป็น ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้พกพาท่านในที่ไม่เหมาะสม กล่าวคือ ถ้าเป็นนางสิกขี ก็ถือว่าเป็นของสูง การพกพาก็อาจจะต้องห้อยคอหรืออย่างน้อยก็ต้องใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ แต่ถ้าเป็นอีเป๋อก็ถือว่าเป็นของต่ำ การพกพาก็ต้องคาดเอวหรือต่ำกว่าเอว เช่น พกไว้ในกระเป๋ากางเกง เป็นต้น ดังนั้น ถ้าสำคัญผิดว่าของสูงเป็นของต่ำการเคารพ กราบไหว้บูชาหรือการพกพาที่ไม่ถูกต้อง ไม่บังควร อาจจะทำให้เป็นการ ลบหลู่ เครื่องราง ของขลัง ของหลวงพ่อและเป็น บาปกรรมโดยไม่ตั้งใจ 

 
                   นางสิกขีองค์นี้ ศิษย์สุริโย ห้อยติดกับสร้อยนำขึ้นสรวมศรีษะห้อยคอ ด้วยความเคารพนับถือศรัทธาว่าท่านเป็นนาง ไม่ได้ลบหลู่ท่านด้วยการพกไว้ในกระเป๋ากางเกง หรือร้อยเชือกคาดเอาไว้ที่เอวเหมือนตะกรุด เพราะเข้าใจว่าท่านเป็นคุณอีเป๋อโดยเด็ดขาด ขอบอก


                   ส่วนคุณอีเป๋อนางนี้ ใครจะพกแบบไหน อย่างไร หรือจะยัดเอาไว้ในกระเป๋าไหนก็ได้ตามสะดวก แต่ศิษย์สุริโย จะไม่ขอนำขึ้นสรวมคอโดยเด็ดขาด ขอบอกอีกครั้ง

                   นี่เป็นเพียงความคิดเห็นของ ศิษย์สุริโย เพียงคนเดียวนะครับ ผิดถูกอย่างไรขอให้เพื่อน ๆ รับไปพิจารณาด้วยครับ โดยเฉพาะ ชมรมพระเครื่องพระบูชาจังหวัดศรีสะเกษ เวลามีประกวดเครื่องราง ของขลัง ของหลวงพ่อสังข์ ขอให้พิจารณาเรื่องชื่อของ นางสิกขี กับ อีเป๋อ ด้วยนะครับ

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ราหูอมจันทร์ เนื้อโลหะ ห่วงทองแดง พิมพ์เล็ก


          ราหูอมจันทร์ เนื้อโลหะ (ห่วงทองแดง)  หลวงพ่อสังข์ สุริโย (พระครูอุดมวรเวท) วัดนากันตม ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ พิมพ์นี้ เป็นเนื้อโลหะผสมทองเหลือง หรือ ทองฝาบาตร ห่วงทองแดงฝังลงไปในเนื้อพระปลายเท้าทั้งสองข้าง หุบเข้าไปแนบลำตัว เหมือนราหูอมจันทร์เนื้อผงพิมพ์เล็ก เขย่าดูไม่ฝังกริ่ง



                  ปลายเท้าทั้ง 2 ข้าง หุบเข้าไปแนบลำตัว ไม่กางชี้ออกมาด้านนอก


                    ด้านหลังปรากฎยันต์เป็นยันต์จม ที่เห็นเด่นชัดตรงกลางหลังเป็นยันต์ เฑาะว์ขัดสมาธิ ซึ่งเป็นยันต์ประจำตัวของหลวงพ่อสังข์ ชัดเจน ล้อมรอบด้วยยันต์ไม่ค่อยชัดเจนแต่พออ่านเดาได้ว่า นะ มะ พะ ทะ ซึ่งเป็นหัวใจของธาตุทั้ง 4 คือ น้ำ ดิน ไฟ ลม ตามด้วยคาถาของหลวงพ่อคือ คาถาหัวใจกาสลัก จะ ภะ กะ สะ  ตรงก้นอสูรราหู ปรากฎยันต์นะชนิดหนึ่ง แต่ผู้เขียนอ่านไม่ออก และไม่สามารถเดาได้ว่าเป็นยันต์อะไร ใช้ในทางไหน  เนื่องจากอสูรราหูตนนี้ถูกใช้มาอย่างโชกโชนมาก คงจะผ่านสมรภูมิมาเยอะ ทำให้เนื้อสึกมาก โดยเฉพาะตรงนิ้วมือที่สอดประสานกันเพื่ออุ้มดวงจันทร์ยัดเข้าไปในปากมองไม่เห็นนิ้วมือและยันต์ต่าง ๆ ด้านหลัง ลบเลือน 



                        ส่วนเรื่อง พุทธคุณต่าง ๆ นั้น คงไม่ต้องอธิบายกันให้มากความอีกแล้วครับ เครื่องราง ของขลัง ทุกชนิด ของ ราชาเครื่องราง แดนอีสานใต้ ลูกศิษย์สายตรง สายอ้อม ทุกคนทราบดี แต่ถ้าใครยังไม่เคยได้สัมผัส ควรจะหามาทดลองใช้ดูนะครับ ดีแน่นอนขอบอก





                   ขอให้เพื่อน ๆ ดูหน้าตาของจอมอสูรตนนี้ ให้ชัด ๆ ครับ หลวงพ่อสังข์ ออกแบบได้สวยงาม คลาสสิคมาก โดยศิลปะที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ในระดับที่เรียกว่า ซือแป๋ เรียกอาจารย์ เลยครับ


                      ขอกราบคารวะ พระครูอุดมวรเวท (หลวงพ่อสังข์  สุริโย) ด้วยความศรัทธายิ่งครับ

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

นางสิกขี (เปลือย) หลังยันต์ นะ

 

                   นางสิกขี (เปลือย) หลังยันต์ " นะ " ขึ้นยอด เนื้อผงพุทธคุณ ผสมผงว่าน 108 คลุกรัก และ ลงรักปิดทอง สวยงามมาก ฝีมือการออกแบบและปลุกเสกโดย หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ด้านหน้าบริเวณท้อง ปรากฎยันต์ อุณาโลม  มีหางลากยาวขึ้นไปด้านบน ผ่านบริเวณร่องอก จนเกือบถึงคาง ส่วนบริเวณข้างหูทั้งสองข้าง ทั้งช้ายขวา ปรากฎยันต์ อุณาโลม อยู่ข้างละตัว


                       ด้านหลัง ปรากฎยันต์ นะ ขึ้นยอด 9 ชั้น ลากยาวตั้งแต่ก้น ยาวเลื้อยขึ้นไปถึงด้านหลังศรีษะ เขย่าดู หลวงพ่อฝังกริ่ง เสียงเพราะมาก ส่วนพุทธคุณนั้น เน้นทางด้าน เมตตา มหานิยม เป็นหลักครับ

                      ขอขอบคุณ ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ที่ได้มอบภาพถ่ายให้เผยแพร่ เพื่อเป็นวิทยาทานครับ

 
                   เดือนนี้ "ศิษย์สุริโย" ได้เปลี่ยนรูปประจำตัว จากรูป "พระโคโพธิสัตว์ พิมพ์ใหญ่ เขาโค้ง" เป็น "พระพิฆเนศ "  แล้วนะครับ ซึ่งพระพิฆเนศองค์นี้ มี 4 กร ถือถุงเงิน 1 ถุง หลวงพ่อสังข์ สร้างจาก หนังหน้าผากควายเผือก ฟ้าผ่าตาย โดยไม่มีบล็อค แต่ใช้วิธีปั้นมือ เสร็จแล้วทารักแดง และ พันกรหนึ่งข้าง ด้วยด้ายสายสิญจน์เสก องค์นี้เรียกว่า "พระพิฆเนศ"นะครับ เพราะว่าหัวและลำตัวเป็น ช้าง มิใช่ "สีโห" ซึ่งเป็นสัตว์ในวรรณคดีของ สปป.ลาว เรื่อง สังข์ศิลป์ชัย นะครับเพราะนั่น เขาหัวเป็นช้าง แต่ลำตัวเป็น ราชสีห์ ครับ

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ตะกรุดโทน ( สิงห์ดำ ) ห่วงคู่


                 ตะกรุดโทน( สิงห์ดำ ) หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ขนาดความยาวประมาณ 3 นิ้วครึ่ง หนาเกือบ 1 นิ้ว



                            ถักเชือกหุ้มหัวท้าย ใส่ห่วงคู่ 2 ห่วง หมุนเกลียว 2 รอบ ( แต่บางดอก บางรุ่น หมุนเกลียวหนึ่งรอบ ก็มี )  ลงรักดำ และจุ่มรักอย่างหนา อีกครั้ง แต่ไม่ปิดทองและไม่ฝังกริ่ง



                 ดูลักษณะของห่วงจะต้องเป็นเอกลักษณ์ คือห่วงทองแดงใหญ่แบบนี้ครับ สายตรงทุกคนทราบดี


                 ตะกรุดหลวงพ่อสังข์ ของแท้ หายากมากครับ ที่มาจะต้องดี และราคาค่อนข้างสูง อีกทั้งยังเป็นที่ปรารถนาของศิษย์สายตรงหลวงพ่อสังข์ ทุกคน ที่อยากจะมีไว้ครอบครอง เนื่องจาก ตะกรุดเป็นเครื่องราง ที่ทำยาก กล่าวคือ หลวงพ่อจะต้องหาแผ่นทองแดง แผ่นเงิน แผ่นตะกั่ว และอื่น ๆ เช่น ฝาบาตร ลงเหล็กจาร ม้วนให้กลมเป็นหลอดตะกรุด ถักเชือกหุ้ม ใส่ห่วง จุ่มรักทีละดอก ด้วยมือของหลวงพ่อเอง ขณะทำต้องปลุกเสกพร้อมไปด้วยทุกขั้นตอน พุทธคุณจึงครอบจักรวาล แม้แต่ อาจารย์ นิพัทธ์  จิตรประสงค์ นักสะสมเครื่องรางระดับแนวหน้าของประเทศไทย ยังแนะนำถึงเครื่องรางที่ทุกคนควรจะหามาใช้บูชาติดตัว โดยกล่าวว่า   " ผมอยากจะบอกว่า ตะกรุดเป็นสุดยอดเครื่องรางที่เล่นยาก หากเราไม่รู้ ที่มา ที่ไป ไม่มีคำบอกเล่าที่น่าเชื่อถือ ไม่มีอักขระเลขยันต์ให้ดู ก็ยากที่จะบอกสำนัก การถักเชือกก็พอดูได้ ตะกรุดดูง่ายมีเหมือนกัน อย่างหลวงพ่อพิธ วัดฆะฆัง พิจิตร และหลวงพ่อเตียง เพราะมีอั่วให้ดู อย่างไรก็ตาม ผมขอเรียนว่า หากคนที่ศึกษาเครื่องราง ชอบเครื่องรางควรหาตะกรุดสักหนึ่งดอกที่เชื่อถือได้ติดตัวไว้ แม้ไม่ทราบสำนัก แต่ถ้ามั่นใจว่าของแท้ก็จงใช้เถิด เวลาอาราธนา ก็อาราธนาพระรัตนตรัย เพราะตะกรุดครูบาอาจารย์ ลงหัวใจพุทธคุณไว้ทุกดอก ตะกรุดนี่แหละสุดยอดแล้ว และความจริงสร้างยากด้วย นี่ผมแนะนำนะ " (คำให้สัมภาษณ์ในหนังสือ The Art of Siam ฉบับที่ 20 ปี 2011 )

           ดังนั้น ใครยังไม่มี ตะกรุดหลวงพ่อสังข์ แท้ ๆ รีบหาไว้ซะ ปัจจุบัน ยังพอจะพบเจอ แต่ต้องสู้ราคาสักหน่อย ก่อนที่จะหาไม่ได้และกลายเป็นตำนาน

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557

คดเขาควายธาตุกายสิทธิ์


              คดเขาควายเป็นวัตถุธาตุกายสิทธิ์ เป็นของทนสิทธิ์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์และมีอาถรรพ์อยู่ในตัวเองโดยไม่ต้องมีการปลุกเสกใด ๆ คดเขาควายจะเกิดขึ้นมาพร้อมกับควายตัวนั้น โดยจะงอกออกมาจากข้างในเขาควายอีกทีตามภาพ

                   ภาพที่ 1 เขาควายปกติ ถ้าผ่าครึ่งซีกออกมาจะเห็นด้านในเขากลวงและแหลมขึ้นไปตามแนวปลายเขาตามภาพ

                   ภาพที่ 2 เขาควายที่เป็นคด จะมีส่วนที่เป็นคดลักษณะตันงอกออกมาจากปลายเขาด้านในตามรอยทึบสีดำโค้งงอเข้ามาที่โคนเขาทั้งสองข้าง ซึ่งได้ระบายสีดำไว้นั่นแหละครับ

              มีควายจำนวนน้อยมากที่จะมีเขาที่เป็นคด อาจจะมีจำนวน 1 ใน 10,000 หรือ 1 ใน 100,000 ตัว จึงจะมีเขาที่เป็นคด โดยเฉพาะ ถ้าควายตัวนั้นเป็นควายเผือกและมีเขาที่เป็นคดด้วยแล้ว ถือว่าสุดยอด 

              เชื่อกันว่า กายสิทธิ์ประเภท คด ที่เกิดในสัตว์ เป็นการจุติลงมาเกิดของเหล่าเทพเทวดาหรือนางฟ้าที่ได้กระทำผิดกฎสวรรค์บางประการแล้วถูกลงทัณฑ์ให้ลงมาเกิดเป็นสัตว์ชนิดต่าง ๆ เพื่อชดใช้กรรม ตามแต่ผลกรรมของตน เช่น เกิดเป็น วัว ควาย เป็นต้น สัตว์พวกนี้จึงมีอาถรรพ์อยู่ในตัว เนื่องจากมีเทพเทวารักษาและได้เกิดขึ้นมาพร้อมกับชีวิตของสัตว์เหล่านั้น เพื่อจะได้ทำการปกป้องคุ้มครองชีวิตและร่างกายของสัตว์นั้นให้แคล้วคลาดปลอดภัย จึงไม่มีใครสามารถทำอันตรายได้ และจะมีชีวิตอยู่จนกว่าจะหมดกรรมลงเมื่อสิ้นอายุขัยหรือถูกสั่งให้ฟ้าผ่าตาย เมื่อชดใช้กรรมหมดแล้ว เพื่อจะได้กลับไปเกิดใหม่บนสวรรค์ ก็จะอธิษฐานอุทิศร่างและอวัยวะของตนให้เป็นของอาถรรพ์ เป็นกายสิทธิ์ ทิ้งไว้เป็นทานบารมีให้แก่มนุษย์โลกที่มีบุญบารมีคู่ควรกับของสิ่งนั้น



               นี่แหละครับปลัดที่แกะจากเขาควายที่เป็นคด ฝีมือการแกะและปลุกเสกโดย หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม ลักษณะของลำตัวปลัดจะไม่ตรง แต่จะโค้งงอตามลักษณะของเขาควายที่เป็นคดตามภาพที่ 2



             จะทราบได้อย่างไร ว่าควายตัวไหน มีเขาที่เป็นคด เพราะว่าคดเขาควายจะซ่อนอยู่ภายในเขา เท่าที่ศึกษามาและจากการสอบถามผู้รู้เห็นว่ามีอยู่ 3 วิธีครับ

                   วิธีที่ 1 ขณะที่ควายยังมีชีวิต ใช้วิธีการสังเกตุครับ ถ้าควายตัวไหนมีลักษณะเด่น สง่างาม ท่าทางองอาจ แลดูน่าเกรงขาม กล้าหาญไม่กลัวใคร และไม่มีควายตัวไหนกล้ามาต่อกรด้วย อีกทั้งมีลักษณะรูปทรงของเขาทั้งสองข้างโค้งงอสวยงามได้รูป ควายตัวนั้นอาจจะมีเขาที่เป็นคด

                    วิธีที่ 2 ขณะที่ควายยังมีชีวิต ทราบด้วยพลังจิต ของเกจิอาจารย์ระดับขั้นอภิญญา ที่สามารถสื่อสารกับสิ่งที่มีชีวิตไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์เดรัจฉานได้

                    วิธีที่ 3 เมื่อควายตายลง ถ้าสงสัยว่าควายตัวไหนมีเขาที่เป็นคด ก็ใช้วิธีผ่าพิสูจน์ดูด้วยตากันเลยครับ





                ส่วนท้ายของปลัด ซ้ายมือของภาพ ที่เห็นเจาะรูไว้ร้อยเชือกนั้น เป็นส่วนของปลายเขาครับ ส่วนหัวของปลัด เขวามือของภาพเป็นส่วนโคนเขาครับ กลางลำตัวปลัดหลวงพ่อจาร กันหะ ซึ่งเป็นท่อนแรกของคาถา หัวใจโจร ครับ




                    ด้านนี้ กลางลำตัว หลวงพ่อจาร เนหะ ซึ่งเป็นท่อนหลังของคาถา หัวใจโจร ครับ


ที่หน้าประธาน หลวงพ่อจารยันต์ อุ ครับ


                ส่วนหัวของปลัด มองเห็นรอยอุดกริ่ง ซึ่งเขย่าดูมีเสียงดังกังวาล ครับ


แก้มปลัดด้านซ้าย จารยันต์ มิ


 แก้มปลัดด้านขวา จารยันต์ บิ


 ด้านบน จารยันต์ ตาพระอินทร์


พญานาคเศียรเดียว กำลังพ่นน้ำ ออกจากปากครับ

                    เล่ากันว่า หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม ท่านสามารถใช้สมาธิจิต สื่อสารกับ เทพเทวา ภูตผีปีศาจหรือสัตว์เดรัจฉานต่าง ๆ ได้ หลวงพ่อสามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ ว่าควายตัวไหนมีเขาที่เป็นคด และเมื่อเดินผ่านฝูงวัว ควาย ท่านก็จะพูดกับวัวหรือควายนั้น ขอ คดเขา และ หนัง มาทำเป็นเครื่องรางเมื่อถึงคราวสัตว์นั้นตายลง ควายที่มีเขาเป็น คด ตัวไหนจะตายวันไหนหรือตัวไหนจะถูกฟ้าผ่าตายท่านก็จะทราบด้วยญาณหรือสมาธิจิตของท่าน และท่านก็จะสั่งให้ลูกศิษย์ไปขอบิณฑบาต เขาและหนังจากจากเจ้าของมาทำเป็น เครื่องราง ของขลัง และที่แปลกประหลาดมากอย่างหนึ่งก็คือ ยังไม่เคยปรากฎว่ามีใครสามารถฆ่า วัว ควาย ที่มีเขาที่เป็นคดได้ มันสามารถแคล้วคลาดจากการถูกฆ่าไม่ว่าจะส่งขายโรงฆ่าสัตว์ หรือถูกฆ่าเพื่อการอื่น แต่มันจะตายเองด้วยการแก่ตายเมื่อสิ้นอายุขัยของมันหรือที่เจอบ่อยก็คือ จะต้องถูกฟ้าผ่าตาย เมื่อฟ้าผ่าตายลง ชาวบ้านเขาจะไม่กินเนื้อ แต่จะนำไปฝัง เนื่่องจากควายตัวนั้นมีอาถรรพ์อยู่ในตัว เมื่อถูกฟ้าผ่าควายทั้งตัวจะกลายเป็นของทนสิทธิ์ ทั้งหนังและเขาเกจิอาจารย์ยุคเก่าเขาจะใช้สร้างวัตถุมงคลซึ่งจะมีความความเข้มขลังมากที่สุดครับ