วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พระฤาษีสุตะ




                      พระฤาษีสุตะ เนื้อผงพุทธคุณ ผสมครั่งและผงว่าน 108 ชนิด คลุกรัก ปั้นมือ ขนาดบูชา หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม




                             หลวงพ่อปั้นได้สวยงาม ถูกต้อง ตามตำรับตำรา ยากที่จะหาเกจิอาจารย์อื่น ทำได้เสมอเหมือน มองดูแล้วเข้มขลัง ที่ฐานองค์พระฤาษี พันด้วยด้ายสายสิญจน์เสก ตามสูตรของหลวงพ่อ




                      การออกแบบและการปั้นทำได้สมจริง ลักษณะท่านั่งสำรวม อ่อนน้อม น่านับถือ ผมยาวมุ่นเป็นมวย พันรอบศรีษะไว้อย่างเรียบร้อย ไว้หนวดเครายาวเสมอหน้าอก คล้องสร้อยประคำเม็ดโตน่าเลื่อมใส ดูแล้วฝีมือการปั้นชั้นครู เขย่าดูหลวงพ่อฝังกริ่งไว้เสียงดังกังวาล


                    ด้านหลังครับ สังเกตุการครองผ้านุ่ง และ มีผ้าพาดบ่าคล้ายผ้าสังฆาฏิของพระสงฆ์ไทย



                        ใต้ฐานองค์พระฤาษี หลวงพ่อประทับยันต์ เฑาะว์ขัดสมาธิ หรือ เฑาะว์มหาพรหม ซึ่งเป็นยันต์ประจำตัวของหลวงพ่อสังข์ ไว้เป็นสำคัญว่า เป็นฝีมือของหลวงพ่อแน่นอนตามสูตรเป๊ะ


            ประวัติ พระฤาษีสุตะ
                             พระฤาษีสุตะ เป็นฤาษีในชั้นดิน เป็นศิษย์เอกของ มหาฤาษีวยาสะ หนึ่งในคณะอาจารย์แห่งฤาษีชั้นฟ้าและชั้นดิน ฤาษีสุตะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขับอ่าน โศลก และ แตกฉานเชี่ยวชาญใน คัมภีร์ปุราณะ ทั้ง 27 ปุราณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระศิวะปุราณะ ซึ่งแบ่งออกเป็น 24,000 บาท แยกย่อยได้อีกเป็น 7 สัมหิตา (เรื่องราวโดยสังเขป) ฤาษีสุตะ มีรูปกายเป็นชายในสังขารราว 60-70 ปี ผิวกายขาว ร่างกายทาด้วยขี้เถ้า ไว้เหนวดเครายาวเสมอหน้าอก ผมยาวมุ่นเป็นมวย ผมเผ้าหนวดเคราเป็นสีดำสนิท นุ่งห่มผ้าสีเหลือง,ส้ม คล้องประคำ รุทรากษะ ดังนั้น ในมือของพระฤาษีสุตะที่ประคองอยู่นั้น น่าจะเป็น คัมภีร์ปุราณะ




                     ผู้ที่เรียนทางเวทย์มนต์ คาถาอาคมถือว่า พระฤาษีสุตะ เป็นครูบา อาจารย์ ทางด้านไสยศาสตร์ คือ ผู้สั่งสอนและถ่ายทอดวิชชาไสยศาสตร์ให้สืบต่อตกทอดมารุ่นแล้วรุ่นเล่า หรือ อาจหมายถึงสิ่งอันทรงอานุภาพ ทรงศักดิ์ ทรงฤทธิ์ มีอำนาจในการประทานอำนาจเพื่อให้ผู้ที่ประกอบพิธีสามารถทำพิธีได้สำเร็จ

                      เนื่องจากพระฤาษีสุตะ ท่านเชี่ยวชาญทางด้านทำนาย โศลก และ แตกฉานการอ่านคัมภีร์ปุราณะ เราควรมารู้จัก 2 คำนี้พอสังเขบดังนี้ครับ
                    
                      คำว่า โศลก หรือ ทางอีสานบ้านเฮา เรียกว่า โสก คือ การทาย นับ แทก วัด เพื่อเป็นตัวกะเกณฑ์สิ่งของที่สิเฮ็ด มีมา หรือได้มา ว่าถืกโสกต้องตามตำราให้เป็นมงคล ค้ำคูณ  หรือ ได้มาแล้ว เกิดขึ้นแล้ว จะช่วยให้ โชคหมานหรือบ่อ แปลความหมายให้เข้าใจได้ หมายถึง การทำนายทายทัก การวัด การนับจำนวน ส่วนสัด หรือ การกำหนดลักษณะ หรือแบบอย่างที่เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ซึ่ง โสกนั้น มีทั้งส่วนดีและส่วนไม่ดี ถ้าดี เรียกว่าถูกโสก ถ้าไม่ดี เรียกว่า ไม่ถูกโสก ส่วนสัดหรือลักษณะใช้ทั้งกับคน หรือสิ่งของ  คนโบราณชอบเรียกคนไม่สุภาพเรียบร้อย ไม่สำรวม ไม่ได้เรื่อง ไม่เหมาะสมดีงาม ทำในสิ่งไม่ควร  เช่น เมื่อเดินไปก็เตะโน้นโดนนี้ว่าเป็นคนบ่ถูกโสก ส่วนวัตถุ สิ่งของเครื่องใช้ บ้านเรือน ที่อยู่อาศัย เมื่อสิ่งใดไม่ถูกลักษณะหรือส่วนสัด หรือแบบอย่างตามความเชื่อเรื่องโชคลางที่นับถือสืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ ก็เรียกสิ่งนั้นว่า ไม่ถูกโสกเหมือนกัน เช่น โสกฆ้อง โสกมีด โสกดาบ โสกปืน โสกอู่ โสกครก โสกไม้คาน โสกบ้าน โสกกุฏิ ฯลฯ ดังนั้น คนที่จะบอกว่า คน วัตถุ หรือ สิ่งของใด ๆ ดีหรือ ไม่ดี คือ ถูกโศลกหรือไม่ จะต้องเป็นผู้ที่เล่าเรียนศึกษาเกี่ยวกับ โศลก(โสก) อย่างแตกฉาน สามารถทำนายทายทัก คน วัตถุ สิ่งของ ว่าถูกโสกหรือไม่ ได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ เช่น พระฤาษีสุตะ หรืออาจจะเรียกพระฤาษีสุตะว่า เป็นบิดาหรือครูบา อาจารย์ ทางโหราศาสตร์ ก็น่าจะได้
                      ส่วน โศลก อีกนัยยะหนึ่ง ก็คือ คำประพันธ์ ในวรรณคดีสันสกฤต ที่แต่งขึ้น เพื่อสรรเสริญยกย่องเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หรือ บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรืออาจจะเป็นคำสอนทางศาสนา เป็นกลบท ปริศนาธรรม เพื่อเผยแผ่ศาสนาและคำสอนต่าง ๆ

                      
                     คัมภีร์ปุราณะ  เป็นชื่อคัมภีร์ประเภทหนึ่งในศาสนาฮินดู โดยมากจะเป็นเรื่องเล่าประวัติของจักรวาล นับตั้งแต่การสร้าง จนถึงการทำลาย  ลำดับพงศ์กษัตริย์ วีรบุรุษ ฤาษี ทวยเทพ ตลอดจน จักรวาลวิทยา ปรัชญา และ ภูมิศาสตร์ของฮินดูด้วย เนื้อหาในปุราณะมักจะเน้นเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะ เด่นด้วยแนวคิดเชิงศาสนาและปรัชญา ดำเนินเรื่องให้มีบุคคล (มักจะเป็นพระฤาษี) เป็นผู้เล่าเรื่องให้อีกคนหนึ่งฟัง ส่วนที่เรารู้จักกันดีคือ มหาปุราณะ ซึ่งกล่าวถึง ตำนานมหาเทพแห่งสรวงสวรรค์ทั้ง 7   คือ
                         1. พระศิวะ เป็นเทพเจ้าที่คอยขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ห่างไกล และจะทำให้เกิดความดีงามเป็นมงคลขึ้นในชีวิตและครอบครัว พระองค์จะทรงประทานพรวิเศษให้แก่คนที่ทำความดี และยึดมั่นในศีลธรรม หากผู้ใดประพฤติเพื่ออุทิศถวายแด่พระองค์และปรารถนาสิ่งวิเศษใดๆ พระองค์จะประทานให้ในไม่ช้า อีกทั้งยังเชื่อว่าพระศิวะสามารถช่วยปัดเป่าเยียวยาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ ได้อย่างมห้ศจรรย์
                        2. พระพรหม เป็นเทพเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งขึ้นในจักรวาล ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นโลกมนุษย์ สัตว์ต่างๆ ตลอดจนต้นไม้ พันธุ์ไม้นานาพันธุ์ และสิ่งไม่มีชีวิตทั้งมวล ถือว่าเป็นมหาเทพที่คนทั่วโลกรู้จัก และเลื่อมใสศรัทธามากที่สุด เชื่อว่าหากได้บูชาเทพองค์นี้จะนำมาซึ่งความสำเร็จ และมั่นคงในธุรกิจการงานทุกสาขาอาชีพ
                        3. พระวิษณุ หรือคนไทยมักเรียกว่า พระนารายณ์ เป็นเทพคุ้มครองโลก ปราบปรามผู้ทำความชั่ว และเป็นเทพผู้ถ่ายทอดสรรพวิชาต่างๆ โดยได้รับพรและพลังอันศักดิ์สิทธิ์มากมายจากพระอิศวร จึงมีฤทธิ์ไม่แพ้กัน นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่า ใครบูชาท่านแล้วจะได้รับความคุ้มครองและมีโชคลาภ แต่จะต้องเป็นคนมีสัจจะรักษาศีล รวมทั้งเจริญภาวนาเป็นที่ตั้ง
                        4. พระอุมา เทวีแห่งพลังอำนาจและสันติสุข ในฐานะเทพนารีที่รวบรวมคุณสมบัติอันเลิศในทางต่างๆ ไว้อย่างมากมาย พระอุมาย่อมเป็นที่สักการะบูชาของชาวฮินดูทั่วโลก ยิ่งบางนิกายบางลัทธินั้นนับถือพระอุมาเหมือนเทพสูงสุด พระอุมาเป็นเทวีที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ความงดงามของพระนางไม่ถือเป็นรองพระลักษมี ขณะเดียวกันความเด็ดขาด และพลังอำนาจในการปกป้องรักษาผู้ที่บูชาก็ทัดเทียมพระสุรัสวดี
                        5. พระสุรัสวดี หรือพระสรัสวดี พระนางเป็นเทวีแห่งศิลปะวิทยาการ การพูด การดนตรี การขับร้องโดยเฉพาะผู้ใฝ่ใจในทางอักษรศาสตร์ เนื่องจากพระนางเป็นผู้ที่ให้กำเนิดอักษรเทวะนาครี ซึ่งเป็นตัวอักษร (เขียน) อักษรภาษาสันสกฤตหรือภาษาอินดี ในอินเดียในปัจจุบัน อีกทั้งปรากฏคำบูชาพระนางตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาในหนังสือจินดามณี
                        6. พระลักษมี เทพนารีองค์นี้ เป็นสัญลักษณ์แห่งความงามอันเจริญาตาเจริญใจ เป็นเทพที่น้ำพระทัยดี อ่อนหวาน นิ่มนวล มีพระสุรเสียงอันไพเราะ เป็นตัวอย่างของความงามอันพร้อมสรรพเท่าที่สตรีพึงมีในโลกนี้ และถือว่าเป็นผู้นำมาซึ่งความเจริญ
                        7. พระคเณศ หรือพระพิฆเนศวร เป็นเทพแห่งปราชญ์ ความรอบรู้ เป็นเทพแห่งการขจัดอุปสรรคขัดข้อง เป็นผู้บันดาลความสำเร็จทั้งมวล และเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ที่ทรงมหิธานุภาพ และมีคุณธรรมปกป้องผู้กระทำดี ปราบปรามสิ่งเลวร้าย หากผู้ใดเป็นผู้รู้และต้องการประสบความสำเร็จต่อกิจการทั้งปวง ไม่ว่าจะกระทำสิ่งใด หรือทำพิธีบูชาใดให้ทำการบูชาพระพิฆเนศวรก่อนกระทำการทั้งปวง


                         ส่วนประคำ รุทรากษะ นั้น เป็นสร้อยประคำที่ทำมาจากเมล็ดพืชมงคลชนิดหนึ่ง คือเมล็ดของ รุทรากษะ  ซึ่งแปลว่า เมล็ดน้ำตาพระศิวะ   มีหลายขนาด เมล็ดที่สมบูรณ์จะมี 8 แฉก ซึ่งหายากมาก เชื่อกันว่าเมล็ดพืชชนิดนี้ มีความสำคัญที่จะนำมาซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ สามารถขับไล่เสนียดจัญไรและบาปทั้งหลายให้หมดไป เนื่องจากการสวดที่นับเมล็ดประคำ  มีสีสันถึง 4 สี คือ สีขาว สีแดง สีเหลือง และ สีดำ ซึ่งจำแนกตามวรรณะตามกฏแห่งพระเวทย์ นั่นเอง


             กฎแห่งพระเวทย์ของการสวมใส่เมล็ดรุทรากษะ ตามความเชื่อตั้งแต่โบราณ

                                ในแต่ละวรรณะตามกฎแห่งพระเวทย์ที่ได้รับการวางไว้ คือ เมล็ดรุทรากษะสีขาวสำหรับวรรณะพราหมณ์ สีแดงสำหรับวรรณะกษัตริย์ สีเหลืองสำหรับวรรณะไวศยะ และ เมล็ดสีดำสำหรับคนในวรรณะ ศูทร
                                ประชากรแห่งวรรณะทั้งหมด แม้ว่าจะเป็นหญิงก็สามารถสวมใส่เมล็ดรุทรากษะได้ตามบัญชาของพระศิวะเทพ คนเหล่านั้นผู้เขียนเครื่องหมาย ตรีปุนทร มีการสวมใส่เมล็ดรุทรากษะ จะไม่ตกสู่นรกแห่งพระยมราชเลย พระยมราชได้มีบัญชาต่อบริวารฑูตของพระองค์ว่า “คนผู้ใดที่สวมใส่เมล็ดรุทรากษะ แม้เพียงเมล็ดเดียวไว้บนศีรษะแล้ว มีการเขียนเครื่องหมาย ตริปุนทรไว้บนหน้าผากและมีการท่องสวมมนต์ 5 พยางค์ แล้วจะต้องทำความความเคารพต่อเขาทันที เขาเหล่านี้เป็นบริวารของพระศิวะเทพ และไม่จับกุมหรือทรมานแต่อย่างใด ตราบนานเท่านานที่สวมใส่เมล็ดรุทรากษะ คนผู้นั้นจะมีจิตวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นที่โปรดปรานแห่งเทพเจ้าทั้ง 5 พระองค์ ( พระอาทิตย์ , พระคเนศ , พระแม่ทรุคา , พระรุทรและพระวิษณุเทพ ) และ เป็นที่ชอบพอรักใคร่ของเทพทั้งหมดด้วย” คนทั้งหมดที่ได้ใช้เถ้าถ่านและสวมใส่เมล็ดรุทรากษะ จะเป็นที่ชื่นชอบของพระศิวะเทพ เป็นผลแห่งความผาสุขร่ำรวย เป็นอิสระจากบาปทั้งปวง และคนผู้ที่ได้สวดมนต์ 5 พยางค์ ด้วยแล้วนับว่าได้ปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แห่งโยคะลัทธิ และนับได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง
                              เมล็ดรุทรากษะ เชื่อว่าจะเพิ่มพลังงานให้เเก่ผู้สวมใส่ เเละส่งพลังเเม่เหล็กไฟฟ้าด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายผ่อนคลาย ปรับระดับการทำงานของร่างกายให้สมดุลย์ จิตรใจผ่อนคลายเเละเกิดสมาธิได้ง่าย ทางอินเดียตอนเหนือใช้ร่วมกับการรักษาโรคให้เเก่ผู้ป่วยด้วย


                      คุณสมบัติของเมล็ดรุทรากษะ  
                          
                             1. ผู้ที่สวมใส่รุทรากษะที่ผ่านพิธีกรรมอย่างถูกต้อง จะไม่มีไสยเวทย์ ภูตผี วิญญาณร้าย มารบกวน หรือรังควาญ
                             2. ผู้ที่สวมใส่รุทรากษะที่ผ่านพิธีกรรมอย่างถูกต้อง เมื่อเสียชีวิตลงในขณะที่สวมใส่รุทรากษะจะไม่ต้องได้รับการจับกุมโดยยมทูต เพื่อไปรับโทษในนรก
                             3. ผู้ที่สวมใส่รุทรากษะที่ผ่านพิธีกรรมอย่างถูกต้อง จะทำให้มีเรื่องเสียใจหรือเศร้าหมองน้อยลงเสียน้ำตาน้อยลงและหากเมล็ดรุทรากษะยิ่งมีขนาดเล็กลงเท่าใด ก็จะยิ่งจะทำให้เสียน้ำตาน้อยลงเท่านั้น
                             4. ผู้ที่สวมใส่รุทรากษะที่ผ่านพิธีกรรมอย่างถูกต้อง จะสามารถรักษาสุขภาพ ให้ดีและแข็งแรงได้ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรค ที่ทางการแพทย์ไม่สามารถหาสาเหตุพบ หรือ ผู้ที่เป็นโรคร้ายแรงไม่สามารถรักษาให้หายได้
         
                     

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปลัดพญานาค เศียรเดียว 1


                        ปลัดพญานาค เศียรเดียว เขาควายแกะ ขนาดความยาว 6 นิ้วพอดิบพอดี ความหนา 2 .5 นิ้ว ฝีมือการแกะและปลุกเสกโดย หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม


                        หลวงพ่อแกะจากปลายเขาควายที่เป็น คด ซึ่งในทางสายไสยศาสตร์ ถือว่าเขาควายชนิดนี้ เป็นของ ทนสิทธิ์ คือมีความ ศักดิ์สิทธิ์ ในตัวเอง แม้ไม่ได้รับการปลุกเสก แต่ถ้าได้รับการปลุกเสกเพิ่มเติมจากเกจิอาจารย์ชั้นเลิศ เช่น หลวงพ่อสังข์ วัดนากันตม ด้วยแล้ว ความศักดิ์สิทธิ์ย่อมเพิ่มเป็นหลายเท่าทวีคูณขึ้นไปอีก


                       ด้านข้างที่แก้มบริเวณหัวปลัด หลวงพ่อลงเหล็กจารยันต์ บิ ส่วนที่ลำตัวปลัดจาร อักษรธรรม หรือ บางท่านเรียก อักษรขอมลาว เป็นคาถาหัวใจโจร กัณหะ เนหะ ซึ่งคาถาหัวใจโจรนี้ เป็นตำหรับคาถาเดียวกันกับปลัดของ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ และ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก ซึ่งถือว่าเป็นเกจิอาจารย์ที่สร้างปลัดระดับแนวหน้าของเมืองไทยเลยทีเดียว ด้านนี้อ่านว่า กัณหะ


                        ด้านนี้ที่แก้มบริเวณหัวปลัด จารยันต์ มิ ส่วนที่ลำตัวปลัด จารคาถาหัวใจโจร อ่านว่า เนหะ


ที่หัวปลัดด้านบน จารยันต์ อุ


ดูรอยอุดกริ่ง ซึ่งเสียงกริ่งดังกังวาลเพราะมาก


                           ลำตัวปลัดด้านบนตรงรอยขยักใกล้หัวปลักขิก ลง พินทุ หรือที่นิยมเรียกกันว่า ตาพระอินทร์ ซึ่งทั้ง หลวงพ่ออี๋และหลวงพ่อเหลือ ก็ลงพินทุ ตาพระอินทร์ บนจุดนี้เช่นกัน


                    ดูรอยปริแตก รอยเสี้ยน บนเขาควายที่เป็น คด ซึ่งแตกลายตามธรรมชาติ ดูแล้วเข้มขลัง มีความเก่าได้อายุ สมกับความเป็น คด ซึ่งเป็นของทนสิทธิ์ จริง ๆ


                       อีกมุมครับ ด้านนี้มองเห็น รอยเสี้ยน รอยแตกราน จากความเก่าของเขาควาย


                       อีกมุมมองครับ ด้านนี้จะมองเห็น เกล็ดพญานาค และ ครีบหลัง ชัดเจนครับ


                       ดูเศียรพญานาค เศียรเดียว ชัด ๆ ครับ จะสังเกตุเห็นว่า พญานาคพ่นน้ำ ด้วยครับ ส่วนพุทธคุณนั้น ก็คงจะเหมือนกับปลัดของเกจิอาจารย์อื่น ๆ ทั่วไป คือ เมตตามหานิยม ค้าขาย ทำน้ำมนต์ทำให้คลอดลูกง่าย รวมทั้งทางด้านแคล้วคลาด คงกระพันก็มีด้วยเช่นกัน

        ของศักดิ์สิทธิ์ค้ำคูณตามตำราประเพณีอีสาน

                       ตามตำราประเพณีอีสาน ถือว่า บรรดาของค้ำคูณทั้งหลาย ถ้าใครมีอยู่ ก็จะต้องนำขึ้นหิ้งสักการะบูชากราบไหว้ เมื่อถึงเทศกาลสำคัญ เช่น เทศกาลสงกราต์ ก็จะนำลงมาสรงน้ำ เหมือนการสรงน้ำพระพุทธรูป เพราะเป็นประเพณีความเชื่อสืบทอดกันมาว่า บรรดาของค้ำคูณทั้งหลาย เป็นของศักดิ์สิทธิ์ ผู้ครอบครองนับถือ บูชากราบไหว้ จักเป็นผู้สมบูรณ์ทุกสิ่งด้านของล้นมากมี เงินทองข้าวของใดบ่มีขาด เพราะอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรดาของค้ำคูณพาให้มั่งมี บรรดาของค้ำคูณเหล่านี้ คือ 

                     คดเขาควาย
                            นอแรด
                เขากวางคุด
                            เขี้ยวหมูตัน
                      จันทคร้อ
                อากาศช้างพลาย
                งาช้างน้ำ
                     ฯ ล ฯ 
             ถ้าใครยังไม่มีก็ควรจะเสาะหาอย่างน้อยซัก 1 อย่าง ข้อสำคัญ ต้องเป็นของแท้ นะครับ ลองนำมาบูชากราบไหว้ดู แล้วท่านจะเห็นผลถึงการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ในทางที่ดีขึ้น  ทดลองดูครับดีแน่นอน