วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559

หัวว่าน นากันตม


                       หัวว่าน นากันตม เจ้าของเป็นข้าราชการท่านหนึ่ง ที่มาได้มาจากพื้นที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ คนขายบอกว่าได้มาจากชาวบ้านข้างวัดนากันตม เป็นหัวว่านอันเดียว หัวเดียว ไม่มีการแกะเป็นองค์พระ หรือแกะเป็นรูปเคารพอย่างใดอย่างหนึ่งแต่ประการใด อีกทั้งไม่ทราบว่าเป็นหัวว่านชนิดใด แต่น่าจะเป็นว่านสำคัญ และว่านที่มีอาถรรพ์ชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นแน่แท้ 


                     หัวว่านด้านนี้ เข้าใจว่าหลวงพ่อน่าจะเจาะจงให้เป็นด้านหน้า เพราะดูเหมือนจะมีรอยบุ๋ม 3 รอย ที่มองดูแล้วคล้ายกับตาและปากของมนุษย์ ลักษณะของหัวว่านดูแล้วแห้งเก่าได้อายุ


                   ด้านนี้ น่าจะเป็นด้านหลัง หลวงพ่อนำหัวว่านมาเคลือบรักและลงทองทั้งหัวเพื่อรักษาสภาพของหัวว่านไม่ให้ ยุบตัว บิดเบี้ยว หรือโค้งงอเสียสภาพ อีกทั้งลงเหล็กจารเต็มหลังโดยเฉพาะจารยันต์ เฑาะว์ขัดสมาธิ ซึ่งเป็นยันต์ประจำตัวของหลวงพ่อไว้เป็นสำคัญ ว่าเป็นว่านของหลวงพ่อสังข์  สุริโย  วัดนากันตม แน่นอน


                   ร่องรอยแผลของหัวว่านซึ่งเกิดจากจากการฉีกหัวว่านออกมาจากเหง้าของกอว่าน มีปรากฎให้เห็นชัดเจน


                        หลวงพ่อฝังห่วงทองแดงลงไปในหัวว่านเพื่อเจตนาจะให้นำติดตัวไปใช้โดยการพกพาห้อยคอแทนองค์พระ


                     หลวงพ่อลงเหล็กจารคาถาอาคมกำกับไว้ทางด้านหน้าของหัวว่านด้วยเช่นกัน
                     พระครูอุดมวรเวท(หลวงพ่อสังข์  สุริโย) วัดนากันตม เป็นเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทางด้านเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องกบิลว่านมากที่สุดองค์หนึ่ง กล่าวกันว่าหลวงพ่อปลูกสะสมว่านสำคัญที่มีอิทธิฤทธิ์และหายากไว้ที่วัดนากันตมหลายร้อยชนิด ว่านที่ไม่สำคัญมากนัก การดูแลรักษาง่ายหลวงพ่อก็จะปลูกไว้ที่พื้นดินหรือในกระถางรอบกุฏิและบริเวณวัด แต่ถ้าเป็นว่านสำคัญและหายากมาก ๆ หลวงพ่อจะปลูกใส่กระถางและนำขึ้นไปดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษบนดาดฟ้ากุฏิของหลวงพ่อซึ่งสร้างเป็นลานกว้างเนื้อที่หลายตารางเมตร โดยหลวงพ่อสร้างบันไดลับสำหรับใช้ขึ้นไปบนดาดฟ้าอยู่ภายในห้องของหลวงพ่อ คนนอกจะขึ้นไปไม่ได้ถ้าหากหลวงพ่อไม่อนุญาต มองจากภายนอกไม่มีใครเห็น 
                     เนื่องจากว่านที่สำคัญและหายากหลวงพ่อจะดูแลเป็นพิเศษตามตำรากบิลว่านซึ่งจะต้องมีเคล็ดลับในการปลูก การดูแลรักษา การเก็บกู้ เช่น การปลูกจะต้องปลูกในวันอังคาร เดือนหก การปลูกจะต้องนำแผ่นทองแดงลงเหล็กจารยันต์อิติปิโสแปดทิศหรือผงศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ รองก้นกระถาง และจะต้องเสกคาถากำกับทุกครั้งที่ปลูก การรดน้ำว่านที่จะให้มีอิทธิฤทธิ์ก็จะต้องว่าคาถากำกับ การขุดหรือกู้ว่านก็จะต้องเลือกวันเดือนปีและข้างขึ้นข้างแรมตามตำราที่กำหนด ว่านที่เก็บไว้จะหยิบไปใช้ก็ต้องใช้คาถาเรียกเสมอ โดยเฉพาะว่านสำคัญจะต้องห้ามมิให้ไก่บินข้ามโดยเด็ดขาดเพราะว่าว่านจะเสื่อมอิทธิฤทธิ์ ดังนั้นหลวงพ่อจึงนำขึ้นไปปลูกไว้บนลานกว้างหลังคากุฎิเพื่อให้สะดวกในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ในการปลูก การดูแลรักษาและเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ไก่บินข้าม ครั้งหนึ่ง พระอาจารย์อู๊ด ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดนากันตม เคยพา ศิษย์สุริโย ขึ้นไปชมบนลานกว้างของดาดฟ้าแห่งนี้หลังจากหลวงพ่อสังข์ มรณะภาพไปแล้วหลายปี แต่ทว่าพบแต่ความว่างเปล่าไม่มีว่านแม้แต่ต้นเดียว ซึ่งน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
                     ลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงพ่อ เป็นผู้เล่า แกบอกว่าหลวงพ่อสังข์ท่านเก่งมากเรื่องว่านและสมุนไพรต่าง ๆ โดยท่านศึกษาเรียนรู้เรื่องว่าน สรรพยา และสมุนไพรต่าง ๆ จนแตกฉาน ถึงขนาดสามารถแยกแยะว่าว่านชนิดไหนรักษาโรคอะไร ชนิดไหนปลูกไว้ในบ้านเป็นมงคลเสริมราศรีเป็นเมตตามหานิยม ว่านชนิดไหนกินเข้าไปแล้ว เป็นอาถรรพ์ แล้วคลาด คงกระพัน ว่านชนิดไหนพกพาติดตัวไปเป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม ท่านเล่าว่าครั้งหนึ่งเคยเห็นอภินิหารของการกินหัวว่าน ขณะนั้น หลวงพ่อนำหัวว่านสำคัญลงมาจากดาดฟ้ากุฎิและนำมาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ  ต่อมาก็นำไปผึ่งแดดให้แห้งและบดทำเป็นผงว่านเพื่อผสมกับผงพุทธคุณและวัตถุอาถรรพ์อื่น ๆ เพื่อทำเป็นเครื่องราง ของขลัง โดยมีผู้เล่าเป็นลูกมือช่วยเหลือ วันนั้นบังเอิญมีชาวบ้านนากันตม 2 คน เดินผ่านมาที่ข้างกุฎิแล้วก็เดินเลี้ยวเข้ามาใกล้ตรงจุดที่หลวงพ่อกำลังทำงาน ทั้งสองพากันนั่งลง แล้วคนหนึ่งก็พูดถามหลวงพ่อสังข์ว่า 
         ชาวบ้าน    "หลวงพ่อจะทำอะไรจึงเอาหัวว่านมาฝาน จะสร้างพระหรือ ?"
         หลวงพ่อ    "ข้าทำเล่น ๆ ของข้าเท่านั้นแหละโว้ย"หลวงพ่อตอบ
         ชาวบ้านที่มาด้วยกันอีกคนถามต่อ "หลวงพ่อทำเล่น ๆ  แล้วเอาหัวว่านไปบดสร้างพระ แล้วพระที่หลวงพ่อสร้างมันจะขลังอยู่หรือ?"
         หลวงพ่อ  "ข้าก็ยังไม่รู้ว่าจะขลังหรือไม่ขลัง แต่ถ้าเอ็งทั้ง 2 คนสงสัย ก็ลองกินว่านนี้ดูไหมล่ะ มันอาจจะทำให้พวกเอ็งชกปากกันก็ได้"
         ชาวบ้าน "มันจะเป็นไปได้อย่างไรหลวงพ่อ เพราะว่าเราทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน อีกทั้งได้ผูกเสี่ยวเป็นเพื่อนตายกันแล้วจะทำร้ายกันได้อย่างไร มีแต่จะช่วยเหลือกันเท่านั้นแหละ"
                    ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น เพื่อนเกลอ 2 คนนี้ มักจะเดินผ่านกุฏิของหลวงพ่อสังข์บ่อย ๆ เพื่อไปช่วยกันทำนา หรือไปเที่ยวเล่นก็แล้วแต่ เจ้า 2 คนนี้ชอบที่จะเข้าไปหยุดดูสิ่งที่หลวงพ่อทำด้วยความสงสัย เคยเห็นหลวงพ่อนั่งฝานหัวว่าน บดหัวว่าน บางครั้งก็เสกหัวว่านโดยหลับตาสวดคาถาอาคมแล้วก็เป่าลงไปที่หัวว่าน ทั้งสองเคยถูกหลวงพ่อดุเอาว่า พวกเอ็งมายืนคุมข้ากำลังทำงานหรือ? แล้วก็ไล่ให้ออกไป อย่าเข้ามาดู สองคนไม่รู้ความจริงก็พากันเอาไปเล่าซุบซิบนินทาให้ชาวบ้านนากันตมฟังในทำนองว่า หลวงพ่อสังข์ ท่าจะเพี้ยน เอาหัวว่านมาบดทำเป็นพระและเสกเป่าคาถาอาคม บางทีเห็นพูดอยู่คนเดียว อีกทั้งทำพระเป็นรูปอะไรก็ไม่รู้ สวยก็ไม่สวย ดำก็ดำ แล้วเอาไปหลอกให้คนทางอื่นที่ไม่รู้ทำบุญ ขลังหรือเปล่าก็ไม่รู้ ชาวบ้านนากันตมในขณะนั้นจึงยังไม่ค่อยเชื่อถือศรัทธา อีกทั้งหลวงพ่อเป็นคนดุชาวบ้านจึงไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปยุ่ง แต่ทางกรุงเทพ ฯ ท่านดังมาก มีลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นคหบดีมีฐานะเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตในกรุงเทพฯ นายทหาร นายตำรวจ นายแพทย์หรือแม้แต่พระที่เป็นเกจิอาจารย์ทางภาคกลาง นำกฐิน ผ้าป่ามาทอดที่วัดนากันตมบ่อย ๆ เกือบทุกปี บางคนซื้อปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น และวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ ส่งมาช่วยหลวงพ่อสร้างโบสถ์ สร้างศาลาโดยส่งทางรถไฟเป็นตู้ ๆ ส่งมาลงที่สถานีกันทรารมย์ และมีลูกศิษย์ไปรับขนมาลงที่วัดนากันตมอีกทอด หลวงพ่อจึงมอบเครื่องราง ของขลัง ให้เป็นของที่ระลึกและเป็นสิ่งตอบแทนในน้ำใจ คนต่างถิ่นจึงได้ของดีของของขลังจากหลวงพ่อไปใช้เป็นจำนวนมาก แต่คนข้างวัดกลับไม่ค่อยจะมีใครได้มากนัก นอกจากลูกศิษย์ใกล้ชิดที่คอยดูแลรับใช้หลวงพ่อเท่านั้นจึงจะได้ พอชาวบ้านเล่าลือกันนานเข้า เสียงก็ดังมาถึงหูหลวงพ่อว่าใครเป็นคนพูด และพูดนินทาหลวงพ่อว่าอย่างไร หลวงพ่อได้ยินแล้วก็เฉยนิ่งเงียบไม่พูดอะไรและไม่โต้ตอบ ปล่อยให้เขาเล่าลือกันไปอย่างนั้น
                     วันนั้นจะเป็นเพราะเหตุบังเอิญหรือจะเกิดจากอะไรก็แล้วแต่ 2 เกลอเดินเข้าไปหาหลวงพ่อสังข์ ที่กำลังฝานหัวว่านเพื่อเตรียมไว้ทำเครื่องราง ของขลัง ตามปกติที่เคยทำ เมื่อหลวงพ่อกับสองเกลอโต้ตอบกันไปมา สักครู่ หลวงพ่อจึงหยิบหัวว่านชนิดหนึ่งฝานเป็นแผ่นบาง ๆ จำนวน 2 ชิ้น ใส่ในอุ้งมือแล้วยกขึ้นพนมแนบอก เสกคาถาอาคมบางอย่างทำปากมุบมิบอยู่ชั่วอึดใจแล้วก็เป่าลงไปที่ว่านทั้ง 2 ชิ้น แล้วก็ยื่นให้ 2 เกลอ ทั้งสองรับมาเคี้ยวและกลืนกินแล้วก็นั่งนิ่งอยู่ สักครู่หลวงพ่อก็ไล่ให้ออกไปเพราะว่าจะทำงานต่อ เมื่อสองเกลอลุกขึ้นเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ยังไม่พ้นลานวัด อยู่ ๆ สองเกลอก็กระโดดเข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอุตหลุดชกกันไปชกกันมาไม่มีใครยอมใครเหมือนมีเรื่องทะเลาะกันอย่างไรอย่างนั้น ไม่รู้เอาพลังและเรี่ยวแรงมาจากไหนล่อกันนัวเนียจนล้มลุกคลุกคลานทั้งคู่ ขณะนั้นหลวงพ่อเหลือบไปมองแต่ก็นิ่งเฉยอยู่ทำท่าเหมือนมองไม่เห็นและไม่สนใจก้มหน้าทำงานต่อไป แต่เมื่อทั้งสองกอดปล้ำกันอยู่นานพอสมควรโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หลวงพ่อจึงลุกขึ้นหยิบไม้ที่วางอยู่แถวนั้นเดินเข้าไปหาสองเกลอแล้วฟาดเบา ๆ ลงไปที่ร่างคนละที พร้อมกับตะโดนดัง ๆ พอได้ยินว่า

          "หยุด ! ไหนเห็นคุยว่าเป็นเพื่อนกัน แล้วชกกันทำไมเล่า"

               ทั้งสองหยุดกึ้กทันทีและผละออกจากกัน ทำท่างง ๆ กับเหตุการณ์ชกต่อยกันที่ผ่านไปว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรเหมือนทำไปโดยไม่รู้สึกตัว และคงจะพากันสงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้น แต่เป็นที่น่าประหลาดใจมากของผู้เล่าที่อยู่ในเหตุการณ์ตลอดก็คือ ทั้งสองฟัดกันอยู่นานและรุนแรงมาก โดยไม่ทราบว่าได้พลังและเรี่ยวแรงมาจากไหน อีกทั้งไม่ปรากฎรอยเลือด ไม่แตก ไม่หัก ไม่ยุบหรือรอยฟกช้ำดำเขียวให้เห็นแต่ประการใด เมื่อทั้งสองรู้สึกตัวดีแล้วก็พากันก้มลงกราบหลวงพ่อ แล้วก็รีบลุกเดินออกไปจากวัดทันที
               ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่เคยเห็นสองเกลอแวะเวียนมาที่วัดนากันตมอีกเลย คงจะเข็ดหลาบที่ถูกหลวงพ่อ วางยา เพื่อเป็นการสั่งสอน  อีกทั้งเสียงซุบซิบนินทาหลวงพ่อในทางที่ไม่ดีก็พลอยเงียบหายไปตั้งแต่บัดนั้น ไม่มีชาวบ้านนากันตมคนไหนกล้าที่จะซุบซิบนินทาหลวงพ่อในทางที่ไม่ดีอีก 


                       ขอกราบคารวะ ท่านพระครูอุดมวรเวท(หลวงพ่อสังข์  สุริโย) สุดยอดเกจิอาจารย์ราชาเครื่องราง ของขลังแดนอีสานใต้ ด้วยความเคารพนับถือและศรัทธายิ่ง
           
                         

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

พระสมเด็จอกวี เนื้อดิน


                  สมเด็จอกวี เนื้อดิน สร้างและปลุกเสกโดย พระครูอุดมวรเวท(หลวงพ่อสังข์  สุริโย) วัดนากันตม ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ


                  หลังเรียบ ไม่มีจาร ไม่ฝังกริ่ง ทารักน้ำเกลี้ยงซึ่งเป็นรักแดงเคลือบผิวไว้ ส่วนดินที่หลวงพ่อนำมาสร้างนั้น จะเป็นดินเจ็ดห้วย เจ็ดท่า เจ็ดโป่ง เจ็ดป่าช้า เจ็ดหลักเมือง เจ็ดจอมปลวก เจ็ดสระโบราณ หรือ เนินดินที่อสุนีบาตตกต้อง 7 แห่ง ฯลฯ ก็มิอาจจะคาดเดาได้ เพราะไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่จะบ่งชี้ว่าเป็นดินจากแหล่งไหน แต่สิ่งที่ไม่ต้องเดาต้องเป็นดินที่มีอาถรรพ์แน่นอนฟันธง


                 องค์นี้ เป็นสมเด็จอกวีเนื้อดินพิมพ์เดียวกันกับองค์แรกแต่หย่อนงามกว่า


                   แต่สิ่งที่ได้มาชดเชยความงามขององค์นี้ อยู่ที่ด้านหลัง เพราะว่าหลวงพ่อจารยันต์ เฑาะว์ขัดสมาธิหรือเฑาะว์มหาพรหม ซึ่งเป็นยันต์ประจำตัวของหลวงพ่อ ล้อมรอบด้วย นะ มะ พะ ทะ ซึ่งเป็นคาถาหัวใจธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทำให้เพิ่มคุณค่าและความเข้มขลังมากขึ้นไปอีก
                   ศิษย์สุริโย ขอกราบคารวะ พระครูอุดมวรเวท(หลวงพ่อสังข์  สุริโย) ด้วยความเคารพและศรัทธาอย่างสูงยิ่ง

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พระว่าน นากันตม

     
                   พระว่านนากันตม พิมพ์ปู่ฤาษีพระพิฆเนศ เนื้อว่านแกะเคลือบรักน้ำเกลี้ยง ฝีมือการแกะและปลุกเสกโดย หลวงพ่อสังข์  สุริโย วัดนากันตม 
                   ว่าน คนโบราณ ถือว่าเป็นพืชที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นพืชที่มีอาถรรพ์ทางธรรมชาติที่เชื่อถือกันมานานนับพันปีแล้ว ว่านบางชนิดมีอิทธิปาฏิหาริย์สามารถป้องกันภัยพิบัติอันตรายต่าง ๆ ได้ บางชนิดกินเข้าไปหรือพกพาติดตัวไปด้วย ทำให้อยู่ยง คงกระพันชาตรี มีด พร้า หอก ดาบ หลาว แหลน ฟันแทงไม่เข้า บางชนิดเป็นมหาอุด ปืนยิงไม่ออกหรือยิงออกแต่ไม่ถูก ยิงถูกแต่ไม่เข้า นักรบโบราณ เมื่อเวลาออกศึก จะพกพาว่านบางชนิดติดตัวไปด้วยโดยเลือกว่านที่มีความเชื่อว่าทำให้มีอิทธิฤทธิ์ ช่วยทำให้จิตใจฮึกเหิมไม่มีความเกรงกลัวต่อสาตราวุธทุกชนิด อีกทั้งสามารถปกป้อง คุุ้มครอง ป้องกันภัยให้แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวงได้ การพกพาว่านก็มีทั้งการพกแบบสด คือพกเป็นหัวว่านนำติดตัวไปด้วยอาจจะห่อมัดคาดไว้ที่เอว ใช้ผ้าผูกหัวว่านรัดไว้ที่แขนทั้งสองข้าง มัดห่อแล้วทำเป็นผ้าประเจียดโพกไว้ที่ศรีษะเป็นผ้าโพกหัวหรือทำเป็นมงคลสรวมศรีษะ บางชนิดเป็นยาสักนำน้ำว่านสักลงไปทั้งที่ลำตัว แขน ขาหรือแม้แต่หน้าผากและศรีษะก็เคยเห็น บางชนิดเคี้ยวกลืนกินลงไปในท้อง บางชนิดตากให้แห้งและบดเป็นผงว่านทำเป็นพระพิมพ์แบบต่าง ๆ  ที่สำคัญและมีชื่อเสียงกันมานานคือ พระว่านจำปาสัก


                       ด้านหลังขององค์พระว่านเข้าใจว่าหลวงพ่อน่าจะผ่าหัวว่านสดออกเป็น 2 ซีก ด้านหน้าแกะเป็นองค์พระ ส่วนด้านหลังก็จะเห็นผิวขรุขระมีรอยย่น ร่องรอยการยุบตัวและมีปุ่มเล็ก ๆ ตามธรรมชาติของใจกลางหัวว่าน เมื่อแกะองค์พระเสร็จแล้วก็นำไปผึ่งลมให้แห้งพอหมาด ๆ แล้วเคลือบผิวพระด้วยรักน้ำเกลี้ยง เพื่อรักษาสภาพของเนื้อพระว่านให้คงสภาพเดิมมิให้แห้งหดตัว ยุบตัว และบิดงอเสียรูป เหมือนพระว่านจำปาสัก


                      เอกลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นพระว่านที่หลวงพ่อสังข์ วัดนากันตม สร้างนั้นก็ต้องดูจากที่มาเป็นประการแรกว่าพระองค์นี้มีที่มาอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น พระองค์นี้ได้มาจากแถวหมู่บ้านรอบวัดนากันตม ประการที่สองเป็นประการสำคัญที่สุดคือ ฝีมือการแกะรูปทรงองค์พระต้องสวยงามอ่อนช้อยแต่เข้มขลังตามแบบฉบับของ หลวงพ่อสังข์ สุริโย ที่ทำอะไรต้องสวยและทำอะไรต้องขลัง เส้นสายลวดลายการแกะตื้น ๆ แต่มีศิลปะที่บ่งชี้ให้เห็นชัดเจน เช่น หลวงพ่อแกะเป็นรูปปู่ฤาษีโดยให้สังเกตุที่หมวก โดยองค์ปู่ฤาษีจะอยู่ในท่านั่งสมาธิวางมือประสานกันไว้ที่ตัก  
               

                       ในภาพจะเห็นการแกะเป็นรูปงวงช้าง ของพระพิฆเนศในลักษณะอ่อนช้อยสวยงาม และสังเกตุที่ใบหูจะเห็นเป็นลักษณะของหูช้าง ดังนั้น เมื่อดูองค์ประกอบของภาพอย่างละเอียดแล้ว จะเห็นว่าหลวงพ่อแกะเป็นรูปภาพของปู่ฤาษีพระพิฆเนศแน่นอน


                      และประการสุดท้ายการเคลือบด้วยรักน้ำเกลี้ยง จะเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่บ่งชี้ว่าเป็น เครื่องราง ของขลัง ของหลวงพ่อสังข์ ขอให้เพื่อน ๆ สังเกตุพื้นผิวด้านหลังของหัวว่านแกะส่วนที่เคลือบรักไว้กะเทาะออก(ในวงกลม) ทำให้มองเห็นเนื้อในของหัวว่าน ออกเป็นสีน้ำตาลแกมม่วง ศิษย์สุริโย เข้าใจว่า ว่านหัวนี้น่าจะเป็นว่านไพลดำ ซึ่งเป็นว่านที่หายากนักรบโบราณถือว่าเป็นพืชอาถรรพ์ที่มีอานุภาพทางด้านคงกระพันชาตรีชั้นเยี่ยมมักใช้คู่กับเหล็กไหล

                                         ว่านไพลดำ
                     ขออนุญาต www.saimherbal.blogspot.com ที่ได้นำภาพมาอ้างอิงเพื่อเป็นวิทยาทาน


                   ศิษย์สุริโย เรียกชื่อพระว่าน องค์นี้ว่า พระว่านนากันตม เนื่องจากสร้างที่วัดนากันตม โดยเทียบเคียงกับการเรียกชื่อพระว่านจำปาสัก ซึ่งเป็นพระว่านที่สร้างที่แขวงจำปาสัก สปป.ลาว แต่ก็นำเข้ามาประเทศไทยจำนวนมากเมื่อครั้งลาวแตก แต่ข้อแตกแต่างของพระว่านจำปาสักกับพระว่านนากันตมก็คือ พระว่านจำปาสัก สร้างจากว่านหลายชนิดบดเป็นผงและยึดโยงเนื้อพระด้วยครั่งและกดลงในแม่พิมพ์เป็นพระพิมพ์ต่าง ๆ หลายพิมพ์ แต่มีข้อเสียตรงที่องค์พระเมื่อนานวันเข้าจะแห้งหดตัว บิดเบี้ยวโค้งงอเสียรูป หาองค์ที่สวยสมบูรณ์ยากมาก แต่พระว่านนากันตมที่สร้างโดยพระครูอุดมวรเวท(หลวงพ่อสังข์ สุริโย) จะสร้างจากหัวว่านชนิดใด ก็แล้วแต่หลวงพ่อจะเลือก เป็นลักษณะองค์เดียวหัวเดียว เมื่อเลือกได้แล้วก็จะนำมาแกะจากหัวสด เสร็จแล้ว จึงเคลือบองค์พระด้วยรักน้ำเกลี้ยงทั้งองค์ ซึ่งรักจะช่วยรักษาสภาพขององค์พระให้คงทนถาวรสวยงามเหมือนเดิมตลอดไป  นี่คือภูมิปัญญาในการสร้างพระของเกจิอาจารย์สมัยโบราณโดยแท้

                               

                                    พระว่านจำปาสัก 

                                   ปู่ฤาษีพระพิฆเนศ

                    ศิษย์สุริโย ขอขอบคุณข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ไม่ประสงค์จะออกนามที่ได้อนุญาตให้นำภาพและข้อมูลออกเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานเป็นอย่างสูงครับ

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

ราหูอมจันทร์ กะลาแกะ


                   ราหูอมจันทร์ กะลาแกะ ฝีมือการแกะและปลุกเสกโดย หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 


                   หลวงพ่อสังข์ สร้างเป็นกะลาแกะแบบฝาเดียว รูปทรงคล้ายหยดน้ำ ด้านหลังลงคาถาจันทรประภา จึงเรียกกันว่าเป็นราหูอมจันทร์ ซึ่งจะพบเห็นได้ง่ายกว่าแบบกะลา 2 ฝา ประกบด้านหลังติดกันโดยใช้ชันโรงหรือขี้สูดแทนกาวยึด


                   เอกลักษณ์สำคัญบางประการ ที่ควรจดจำเพื่อใช้ในการเสาะหาและสะสม กะลาแกะของหลวงพ่อสังข์ รูปทรงหยดน้ำทั้งแบบฝาเดียวและ 2 ฝา นั้น ประการแรก เค้าโครงใบหน้าของอสูรราหู จะต้องเป็นใบหน้าและรูปคางออกไปในรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า และแก้มป่อง


        ศรีษะจะต้องมีเครื่องประดับหรือกรอบหน้าคล้ายมงกุฏ 


                  นัยน์ตาทั้ง 2 ข้าง จะต้องกลมโต คล้ายตาโปนออกมานอกเบ้า


                  ประการสุดท้าย จะต้องมีกรรเจียกหรือจอนหูประดับหูซ้ายขวาทั้งสองข้าง 
                  ส่วนพุทธคุณนั้น คงไม่ต้องกล่าวถึงอีก ลูกศิษย์หลวงพ่อสังข์ ทั้งสายตรงและสายอ้อม ทราบดีอยู่แล้ว สุดท้ายต้องของขอบคุณผู้ไม่ประสงค์ออกนามที่ได้อนุญาตให้นำภาพถ่ายและให้ข้อมูลในการเสาะหาและสะสม เครื่องราง ของขลัง ของหลวงพ่อสังข์ ด้วยดีเสมอมา


                      ขอกราบคารวะ หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม ด้วยความเคารพ และศรัทธายิ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ราหูกะลาแกะ 2 หน้า


                     ราหูกะลามะพร้าวตาเดียวแกะ พิมพ์ 2 หน้า หน้าแรก แกะเป็นรูป ราหูอมพระอาทิตย์ หน้าหลัง แกะเป็นรูปราหูอมจันทร์ ฝีมือการแกะ และ ปลุกเสกโดย พระครูอุดมวรเวท(หลวงพ่อสังข์  สุริโย) วัดนากันตม ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ


                   กะลารุ่นนี้ แกะเป็นกะลาคู่ มี 2 ฝา รูปทรงองค์พระที่แกะคล้ายหยดน้ำ หันด้านหลังประกบกัน สุดยอดฝีมือการแกะ เพราะว่าทั้งขนาด พิมพ์ทรง ลวดลาย หน้าตา แกะเหมือนกันทั้ง 2 ฝา ไม่มีผิดเพี้ยน ถ้าดูฝาด้านหน้าด้วยตาเปล่า จะดูไม่ออกว่าฝาด้านไหนเป็นราหูอมพระอาทิตย์ และ ฝาด้านไหนเป็นราหูอมพระจันทร์ แต่ถ้าแกะแล้วแยกฝาทั้งสองออกจากกันและใช้กล้องส่องพระส่องดูด้านหลังกะลา จะสามารถแยกแยะได้จากรอยลงเหล็กจารที่หลวงพ่อสังข์ ลงคาถาอาคมกำกับไว้ เนื่องจากฝาที่เป็นราหูอมพระอาทิตย์ หลวงพ่อจะลงคาถา สุริยประภา ส่วนฝาที่เป็นราหูอมพระจันทร์ หลวงพ่อจะลงคาถา จันทรประภา               
               

                    หลวงพ่อจะนำกะลาทั้ง 2 ฝาที่ลงยันต์และปลุกเสกดีแล้ว หันด้านหลังประกบติดกัน ทำให้เป็นราหู 2 หน้า ไม่มีด้านหน้าและด้านหลัง เนื่องจากทั้ง 2 ด้าน เหมือนกันทุกอย่าง จึงเรียกกันว่าราหู 2 หน้า ส่วนการประกบด้านหลังติดกันนั้นหลวงพ่อใช้วัตถุชนิดหนึ่งซึ่งเป็นยางตามธรรมชาติที่มีความเหนียวมากเป็นพิเศษเป็นตัวยึดให้กะลาทั้ง 2 ฝา ติดกันอย่างเหนียวแน่นซึ่งก็คือ ชันโรง นั่นเอง เมื่อทำให้ติดกันดีแล้ว แล้วจึงปลุกเสกซ้ำอีกครั้ง
                    ชันโรง  เป็นแมลงตัวเล็ก ๆ ชนิดหนึ่งคล้ายผึ้ง อยู่รวมกันเป็นฝูง แต่ไม่มีเหล็กในเหมือนผึ้ง ลำตัวและปีกจะเป็นสีดำ ชอบกินน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ เมื่อเวลามันถ่ายออกมาจะมีสีดำข้นเหนียวและมีกลิ่นหอมประหลาด มันจะใช้มูลของมันผสมกับดินสร้างรังโดยจะนำไปผสมกับน้ำยางจากต้นไม้ใหญ่ต่าง ๆ ที่มันหาเก็บมา ทำให้รังของมันเหนียวและข้นมาก ส่วนสีนั้นจะต้องเป็นสีน้ำตาลไหม้หรือออกดำคล้ายยางมะตอย การเรียกชื่อจะเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น ผึ้งหอยโข่ง ผึ้งตะโหงกวัว หรือบางแห่งเรียก หูด ขี้ตังนี หรือกินชัน ทางอีสานเขาเรียกว่า ขี้สูด คนอีสานเขานิยมนำมาใช้ติดเครื่องดนตรี เช่น เต้าแคนและโหวต หรือถ่วงเครื่องดนตรีประเภทระนาด โปงราง เป็นต้น ซึ่งขี้สูดนี้จะช่วยทำให้เครื่องดนตรีเกิดเสียงไพเราะ ชันโรงที่ชาวอีสานถือกันว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์และนำมาใช้สร้างวัตถุมงคลนั้น จะต้องเป็นชันโรงที่ทำรังใต้ดินหรือระดับเดียวกันกับพื้นดิน เช่น ดินที่เป็นจอมปลวกเป็นต้น บางทีเขาก็เรียกว่า ขี้สูดดินเพียง ถ้าชันโรงทำรังตามต้นไม้ หรือตามโคนเสาบ้านเรือนใช้ไม่ได้เพราะทางไสยศาสตร์ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่เป็นอาถรรพ์ จึงไม่สามารถป้องกันอาถรรพ์ และเสนียดจัญไรได้ เมื่อพบแล้วก่อนที่จะนำมาใช้จะต้องทำพิธีพลีกรรม ขอจากเจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขา ตามตำหรับตำราภาคบังคับเสียก่อน จึงจะนำมาใช้ได้ เมื่อขอแล้วจึงขุดลงไปใต้พื้นดิน บางทีตัองขุดลงไปลึก 1 ถึง 2 เมตร จึงจะได้ขี้สูดตามที่ต้องการ คนโบราณเชื่อกันว่า ขี้สูดดินเพียงเป็นของทนสิทธิ์ที่มีอาถรรพ์ลี้ลับ เป็นวัตถุอาถรรพ์ตามธรรมชาติแม้ว่าไม่ต้องปลุกเสกก็ตาม อานุภาพของมันป้องกันไฟ กันคุณไสย มนต์ดำลมเพลมพัด กันเสนียดจัญไร  เป็นมหาอุด และแคล้วคลาด ด้วยความที่ชันโรงเป็นแมลงที่ไม่ดุร้าย จึงถือกันว่ามีเสน่ห์ทางเมตตามหานิยมอีกด้วย 
                   ดังนั้น เมื่อนำกะลาตาเดียวแกะเป็นรูปราหู 2 ฝา และยึดติดด้วยชันโรง(ขี้สูด) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์ตามธรรมชาติ อีกทั้งได้รับการปลุกเสกจากสุดยอดเกจิอาจารย์แดนอีสานใต้อย่าง พระครูอุดมวรเวท(หลวงพ่อสังข์  สุริโย) ด้วยแล้ว จึงเชื่อว่าจะเพิ่มความเข้มขลังให้แก่ราหูกะลาแกะพิมพ์ 2 หน้าองค์นี้ ขึ้นไปอีกเป็นร้อยเท่าทวีคูณเป็นแน่แท้
                   ราหู กะลาแกะแบบ 2 ฝา ประกบด้านหลังติดกันโดยใช้ขี้สูดดินเพียงเป็นกาวยึด ทำเป็นราหู 2 หน้า ปิดหลังนั้น จะพบเห็นได้ยากกว่าแบบ กะลาแกะฝาเดียว เปิดหลัง  แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นแบบไหนทั้งแบบฝาเดียวหรือ 2 ฝา ถ้าพบเห็นกะลาแกะรูปทรงหยดน้ำ เค้าโครงใบหน้าของอสูรราหูเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีเครื่องประดับศรีษะหรือกรอบหน้าคล้ายมงกุฎ มีกรรเจียกหรือจอนหูประดับหูซ้ายขวาทั้งสองข้าง  ตาโปน และแก้มป่องเหมือนแบบในภาพ อย่าให้พลาดเป็นเด็ดขาดขอบอก
              

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559

พระปิดตา หลังยันต์



                   พระปิดตา หลังยันต์ สร้างและปลุกเสกโดยราชาเครื่องรางแดนอีสานใต้ นาม พระครูอุดมวรเวท(สังข์  สุริโย) วัดนากันตม ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ


                    ลักษณะเป็นพระปิดตาลอยองค์ พระสรีระอวบอ้วนแบบพระสังกัจจายน์ นั่งอยู่บนฐานสูง ขัดสมาธิเพชร หลังยันต์  ปิดทองทั้งองค์ ขนาดขององค์พระเล็กกระทัดรัด ประมาณปลายนิ้วก้อยเท่านั้น


                    สำหรับพระปิดตาองค์นี้ ใต้ฐานองค์พระเรียบ ไม่ปรากฏร่องรอยการลงเหล็กจาร ใต้ฐานไม่ปรากฏการฝังตะกรุดโผล่มาให้เห็น แต่เมื่อเขย่าดูปรากฏว่ามีเสียงกริ่ง แต่ไม่ใช่การฝังเม็ดกริ่ง แต่เป็นการฝังหลอดตะกรุดเสียงเหมือนกับเสียงกริ่งของพระโคโพธิสัตว์พิมพ์ใหญ่


                  ส่วนยันต์ ที่ปรากฏด้านหลังองค์พระนั้น เป็นยันต์ลายเส้นนูนที่เกิดจากการแกะแม่พิมพ์ ศิษย์สุริโย เข้าใจว่า น่าจะเป็นยันต์คาถาหัวใจกาสลัก ซ่อนหัว ซ่อนหาง คือ จะ ภะ กะ สะ (ผิดพลาดขออภัย) ซึ่งเป็นยันต์คาถาประจำตัวของหลวงพ่อชนิดหนึ่ง ที่หลวงพ่อชอบที่จะใส่ลงบนเครื่องราง ของขลัง อยู่หลายชนิด
                  พระองค์นี้มีประวัติที่น่าสนใจมาก เดิมทีพระองค์นี้กลัดติดอยู่กับย่ามติดตัวของพระอาจารย์อู๊ด ซึ่งเป็นผู้รักษาการณ์เจ้าอาวาสวัดนากันตม หลังจากที่หลวงพ่อสังข์ มรณะภาพในปี 2526 พระองค์นี้พระอาจารย์อู๊ดรับมาจากมือหลวงพ่อสังข์ ต่อมาได้มอบให้ศิษย์เอกที่เป็นฆราวาสคนหนึ่งไว้เพื่อเป็นที่ระลึกก่อนที่จะอำลาจากประเทศไทยไปจำพรรษาอยู่ที่ต่างประเทศแถวทวีปยุโรปแถบคาบสมุทรสแกนดิเนเวียและไม่กลับมาประเทศไทยอีกเลย 
                  ประวัติการสร้างพระรุ่นนี้ หลวงพ่อสังข์ได้นำผงพุทธคุณเก่าที่ทำเก็บไว้มาผสมกับดินสอพองและปั้นเป็นแท่งเขียนและลบผงขึ้นมาใหม่อีกรอบ เพื่อเป็นการจงใจสร้างพระภควัมโดยเฉพาะ โดยเรียกสูตรลงอักขระคาถาพระอิติโสภุชฌงค์ซ่อนหัวและพระอิติโสภุชฌงค์ซ่อนหาง ตามสูตรภาคบังคับของการสร้างพระภควัมบดีตามคัมภีร์พระเวทโบราณ จากนั้นนำไปผสมกับผงที่บดเตรียมไว้แล้วของพืชที่มีใบเป็นไม้รู้นอน เช่น ไมยราพ กระเฉด กระถิน แค ดอกลำโพง เป็นต้น ต่อมานำไปผสมกับเกษรดอกไม้บางชนิด เช่น ดอกรักซ้อน ดอกพุดซ้อน ดอกมะลิซ้อน ดอกกาหลง และ อื่น ๆ อีกหลายอย่าง ที่สำคัญจะต้องผสมผงว่านบางชนิดตามตำราซึ่งจะขาดเสียมิได้เลย ซึ่งประกอบไปด้วย ว่านเสน่ห์จันทร์ขาว ว่านเสน่ห์จันทร์เขียว ว่านเสน่ห์จันทร์แดง ว่านพระฉิม ว่านพระเจ้า 5 พระองค์ ว่านหนุมาน ว่านกำแพง 7 ชั้น เป็นต้น คลุกเคล้าให้เข้ากันขณะทำก็บริกรรมคาถาอิติปิโส ฯ ไปตลอดเวลา เมื่อได้ที่แล้วจึงนำผงดังกล่าวไปกดในแม่พิมพ์ซึ่งหลวงพ่อแกะเตรียมไว้แล้ว ต่อมาจึงนำไปผึ่งลมให้แห้ง แล้วนำไปลงรักและปิดทองทั้งองค์เป็นขั้นตอนสุดท้าย จึงจะได้องค์พระภควัมอย่างสูมบูรณ์ตามสูตร
                  เมื่อถึงวันเวลาอันเป็นฤกษ์ หลวงพ่อจึงเริ่มพิธีกรรมเข้าพิธีปลุกเสกโดยแต่งเครื่องสังเวยบูชาเทพยดาและสักการะบูชาบูรพาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทสรรพวิทยาคมให้ถูกต้อง ครบถ้วนตามตำหรับตำราเสียก่อน เสร็จแล้วจึงได้นำพระทั้งหมดใส่ลงไปในบาตรพระครั้งละไม่มากนัก ประมาณ 40 - 50 องค์ต่อครั้ง นัยว่าเพื่อให้จำนวนพระพอประมาณอยู่ในก้นบาตรเท่านั้น  เสร็จแล้วนำฝาบาตรปิดให้มิดชิด และเริ่มสวดคาถาพระอิติปิโสภุชฌงค์ซ่อนหัว - ซ่อนหาง สลับกันไปมาเรื่อยไปไม่หยุด จนกระทั่งได้ยินเสียงพระภควัมเริ่มเคลื่อนไหววิ่งวนเวียนอยู่ในบาตรและเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีเสียงกระทบบาตรดังหึ่มเหมือนแมลงภู่บิน กล่าวกันว่าห้ามเปิดฝาบาตรดูเด็ดขาด ถ้าเปิดพระภควัมจะกลายเป็นแมลงบินหนีหายไป ดังนั้นจะต้องบริกรรมคาถาไปเรื่อย ๆ จนกว่าเสียงดังหึ่มในบาตรจะหยุดไปเอง เมื่อเสียงสงบเงียบดีแล้วจึงจะถือว่าเสร็จพิธีการปลุกเสกบริกรรม เมื่อเปิดดูก็จะเห็นพระภควัมทั้งหมดทุกองค์นั่งสลอนเป็นระเบียบอยู่กลางบาตร และหันหน้ามาทางผู้ประกอบพิธีปลุกเสกเสมอจึงจะถือว่าใช้ได้ การปลุกเสกจึงเน้นคุณภาพ ไม่ได้เน้นปริมาณ การปลุกเสกแต่ละครั้ง ได้แค่บาตรละ 40 - 50 องค์ ต่อครั้งเท่านั้น
                   กล่าวกันว่าพระปิดตาที่ปลุกเสกตามตำรานี้มีพุทธานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก แสดงอิทธิปาฏิหาริย์มหัศจรรย์ใช้ได้ทุกอย่างครอบจักรวาล ตามแต่จะปรารถนาและอธิษฐานเอา เมื่อนำติดตัวไปจะทำให้มีเสน่ห์เมตตามหานิยม เป็นสิริมงคลบันดาลโชคลาภ ช่วยป้องกันภัยพิบัติอันตรายทั้งปวง อีกทั้งแคล้วคลาด คงกระพันก็เคยปรากฏ
                   พระรุ่นนี้ แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้เห็นบ่อยครั้งมาก จนกระทั่งหลวงพ่อละมูล วัดเสด็จได้ขออนุญาตหลวงพ่อสังข์นำไปถอดพิมพ์และสร้างขึ้นมาอีกรุ่นที่วัดเสด็จ และนำมาให้หลวงพ่อสังข์ปลุกเสกให้ที่วัดนากันตม แล้วจึงนำกลับไปให้ญาติโยมที่วัดเสด็จ จังหวัดปทุมธานี ได้บูชาทำบุญอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนจุดสังเกตุความแตกต่างของพระปิดตาของหลวงพ่อสังข์ สร้าง กับ ที่พระอาจารย์ละมูลถอดพิมพ์ไปสร้างที่วัดเสด็จนั้น ศิษย์สุริโย ยังไม่มีขัอมูลครับ........ ลูกศิษย์ทั้งสายตรงและสายอ้อมที่ยังไม่มีพระปิดตาหลังยันต์พิมพ์นี้ พบเจอที่ไหนอย่าปล่อยให้หลุดมือไปเป็นอันขาด เนื่องจากพระรุ่นนี้สร้างจำนวนค่อนข้างน้อย จึงหายากไม่ค่อยพบเห็นอีกทั้งยังเป็นพระของหลวงพ่ออีกรุ่นหนึ่งที่มี ประสบการณ์สูงมาก ใครมีก็หวงจึงไม่ค่อยมีการเปลี่ยนมือมากนัก


                      ขอกราบคารวะ พระครูอุดมวรเวท(สังข์  สุริโย) ด้วยความเคารพและนับถือศรัทธายิ่ง และที่จะลืมเสียมิได้ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างสูง สำหรับผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ที่ศิษย์สุริโย เคารพนับถือ เป็นทั้งพี่ที่เคารพ และเป็นเสมือนครูบาอาจารย์ที่คอยแนะนำให้ความรู้ นำของที่สะสมไว้ออกมาให้ดูให้ถ่ายภาพ และอนุญาตให้นำออกเผยแพร่พร้อมทั้งให้ข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ เกี่ยวกับเครื่องราง ของขลัง ของหลวงพ่อสังข์ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ให้ทราบโดยละเอียดและไม่ปิดบังใด ๆ ทั้งสิ้น
              

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ประคำ เมฆพัตร


                    ประคำ เมฆพัตร 109 เม็ด สร้างและปลุกเสกโดยหลวงพ่อสังข์  สุริโย วัดนากันตม ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ   ตั้งแต่สะสมมา  พึ่งเจอเส้นเดียว   


                    เม็ดประคำ มีจำนวนทั้งหมด 109 เม็ด 108 เม็ด ร้อยเป็นกลุ่มอยู่ในสร้อยและมียอดประคำเม็ดโตคั่นเอาไว้ ส่วนเม็ดที่ 109 ร้อยติดอยู่ที่ปลายยอดประคำเพียงเม็ดเดียว ตรงศรชี้ อีกทั้งเป็นเม็ดเล็กกว่าเม็ดอื่น ๆ



                       เม็ดประคำ สร้างด้วยโลหะเมฆพัตร แต่ละเม็ดมีขนาดเขื่องประมาณปลายนิ้วก้อย จากการใช้กล้องส่องพระ ดูจากเม็ดที่ชำรุดและปริแตกร้าวออกมาจนเห็นเนื้อใน จะสังเกตุเห็นว่า เม็ดประคำจะไม่เป็นเม็ดตันเนื้อเมฆพัตรทั้งเม็ด แต่ด้านในของเม็ดประคำจะเห็นเป็นผงวิเศษสีขาวจับตัวกันเป็นก้อนแข็งและมีโลหะเมฆพัตรเคลือบห่อหุ้มเอาไว้ภายนอก และเจาะรูตรงกลางเม็ดเอาไว้เพื่อร้อยเชือกทำเป็นสร้อย


                      เมฆพัตร นั้นตำราทางไสยศาสตร์เรียกว่า "โลหะธาตุกายสิทธิ์"เป็นโลหะที่ได้จากการเล่นแร่ แปรธาตุตามตำราของพระเวทไทยโบราณ เมฆพัตรมีส่วนผสมของตะกั่วและทองแดงเป็นส่วนผสมหลัก แต่มีกรรมวิธีการสร้างที่ซับซ้อนและยุ่งยากมาก ต้องหลอมละลายส่วนผสมด้วยความร้อนสูง ในระหว่างหลอมต้องผสมด้วยน้ำว่านยาหลายชนิด เช่น ไพลดำ ต้นหิงหาย ไม้โมกผา ขิงดำ กระชายดำ สบู่แดง และสบู่เลือด เป็นต้น อีกทั้งต้องซัดด้วยปรอทและกำมะถันเข้าไปในเบ้าหลอมอีกด้วยเพื่อให้เกิดปฎิกิริยาทางเคมีและในระหว่างหลอมต้องบริกรรมคาถาปลุกเสกไปตลอดเวลาของการหลอมจนสำเร็จ พอสำเร็จจะได้โลหะสีฟ้าดำเป็นเงาเลื่อมพราย มีน้ำหนักตึงมือ แต่เปราะและแตกง่าย เชื่อกันว่าโลหะเมฆพัตรเป็นเนื้อโลหะที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัว และเมื่อนำมาสร้างเป็นเครื่องราง ของขลัง และทำการปลุกเสกอีกครั้งแล้ว ก็จะยิ่งทวีความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นอีกเป็นพิเศษ เกจิอาจารย์รุ่นเก่า ๆ เท่านั้น ที่จะสร้างโลหะเมฆพัตรได้ ยกตัวอย่าง เช่น หลวงพ่อทับ วัดอนงค์ หลวงปู่นาค วัดห้วยจรเข้ หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก หลวงพ่อปล้อง วัดหลุมดิน หลวงพ่อดี วัดบ้านยาง และ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เป็นต้น ซึ่งท่านทั้งหลายที่กล่าวมา ก็ได้มรณภาพไปหมดแล้ว ปัจจุบันจึงหาแทบไม่เจอ



                    ยอดประคำ ซึ่งเป็นเม็ดใหญ่กว่าเพื่อน ขนาดประมาณลูกปิงปอง แต่ใช่ว่าจะเป็นเนื้อโลหะเมฆพัตรก็หาไม่ สำหรับยอดประคำเม็ดนี้เป็นเนื้อผงพุทธคุณผสมผงว่าน เหมือนลูกอม อีกทั้งหลวงพ่อประทับยันต์เฑาะว์ขัดสมาธิ หรือเฑาะว์มหาพรหม ซึ่งเป็นยันต์ประจำตัวหลวงพ่อ ไว้เป็นสำคัญ เพื่อเป็นการยืนยันว่า ประคำเส้นนี้ สร้างและปลุกเสกโดย พระครูอุดมวรเวท(หลวงพ่อสังข์  สุริโย) วัดนากันตม แน่นอน ดังนั้น ลูกศิษย์ของหลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม ทั้งสายตรงและสายอ้อม พึงได้รับรู้ด้วยความภาคภูมิใจว่า พระเกจิอาจารย์สายขอมลาวของจังหวัดศรีสะเกษ แดนอีสานใต้ ที่ท่านนับถือและศรัทธา เป็นเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้าของเมืองไทย ที่สำเร็จอภิญญา สามารถเล่นแร่แปรธาตุและนำมาสร้างเป็นวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลัง ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ติดอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยได้ ไม่แพ้เกจิอาจารย์อื่น แน่นอน ส่วนพุทธคุณของโลหะเมฆพัตร นั้น คงไม่ต้องกล่าวถึงอีก กล่าวกันว่า ครอบจักรวาล ในระดับ น้องๆ เหล็กไหล ทีเดียวเชียวแหละพี่น้อง



             ขอกราบคารวะ หลวงพ่อสังข์  สุริโย วัดนากันตม ด้วยความเชื่อมั่น เคารพและศรัทธายิ่ง


วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

กุมารทองปิดตา รากรักซ้อนแกะ


                   กุมารทองปิดตา แกะด้วยรากรักซ้อน ฝีมือการแกะ และ ปลุกเสกโดย หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม  อำเภอกันทรลักษ์  จังหวัดศรีสะเกษ


                    กุมารทองตนนี้ ค่อนข้างเจ้าเนื้อ เพราะมองดูด้านข้าง พุงแอ่นเชียว


                      จุดประสงค์ของหลวงพ่อ อาจจะเพื่อสื่อให้เห็นว่าเป็นพระควัมปติ แกะเป็นกุมารทองปิดตา คล้ายกับพระสังข์กระจาย หรือกุมารทองปิดตาพิมพ์พระสังข์กระจายนั่นเอง หลวงพ่อคงจะปลุกเสกคาถาเน้นให้มีพุทธคุณทางด้านโภคทรัพย์อีกด้วย


                       แกะเสร็จแล้ว ลงรักน้ำเกลี้ยงเพื่อความสวยงามและเป็นการรักษาเนื้อไม้ให้คงทนถาวร


                     ลักษณะการแต่งกายและท่าทาง แสดงให้เห็นว่า เป็นกุมารทองในท่ายืน และยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดตา 


                                 แถมมัดผมจุกชัดเจน


                      ปุ่มรากของไม้รักซ้อนทำเป็นฐาน ดูแล้วไม่มีการเจาะใต้ฐาน และไม่มีการฝังกริ่ง


                        ปุ่มรากรักซ้อน ใหญ่เท่าไรยิ่งดี ส่วนพุทธคุณ ก็คงเน้นทางด้านเมตตา มหานิยม การค้าขายเป็นหลักของกุมารทองทุกเกจิอาจารย์ที่สร้างขึ้น แต่กุมารทองตนนี้หลวงพ่อสังข์แกะเป็นกุมารทองปิดตา(พระควัมปติ)แถมพุงพลุ้ยคล้ายกับพระสังข์กระจาย ซึ่งแปลกและแตกต่างจากเกจิอาจารย์อื่น ๆ  พุทธคุณจึงครอบคลุมถึง ความเจริญรุ่งเรือง เกิดมีโชคมีลาภ เป็นเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่นับถือแก่มหาชนทั่วไปอีกด้วย

                        ขอขอบคุณผู้ไม่ประสงค์ออกนาม เจ้าของเครื่องราง ที่ได้มอบภาพถ่ายและข้อมูลให้ ศิษย์สุริโย นำออกเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานเป็นอย่างสูงด้วยครับ