วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิชาฝังหุ่น


พระครูอุดมวรเวท ( สังข์  สุริโย)

                     อุดมวรเวท  หมายถึง ผู้ที่มากด้วยเวทมนต์ คาถาอาคม ชั้นเลิศ   สมณศักดิ์ที่หลวงพ่อสังข์ ได้รับพระราชทาน นั้นช่างเหมาะสมกับท่านโดยแท้ สมณศักดิ์ นี้ไม่ใช่ว่าได้มาง่าย ๆ ท่านจะต้องพิสูจน์ให้ทางคณะสงฆ์และลูกศิษย์เห็นและสัมผัสได้จริง ๆ ว่าท่านเป็นเกจิอาจารย์ ที่เหมาะสมจะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นี้
                     ก่อนที่จะมาเป็นเกจิอาจารย์นั้นท่านจะต้องศึกษาวิชาเกี่ยวกับทางด้านไสยศาตร์ มาอย่างเจนจบก่อน 
                     ไสยศาสตร์ เป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา และ เลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจสมาธิจิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และการปลุกเสก
                     ไสยศาสตร์ หรือ ศาสตร์มืด คือการทำ "คุณไสย" ในพจนานุกรมไทยให้คำจำกัดความ คุณไสย ว่า "เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายอมิตร" เป็นศาสตร์ที่ทางวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ แต่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และมีคนเชื่อและผู้ปฏิบัติทั่วโลก ในแต่ละชุมชนจะมีรูปแบบของไสยศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป แต่สรุปแล้วไสยศาสตร์ก็คือการทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น โดยผิดแปลกจากกฏของธรรมชาติ เช่น ทำให้สามีภรรยาที่ดีกันทะเลาะและแยกทางกัน ทำให้สาวหลงรักหนุ่มที่เคยเกลียด ซึ่งปกติแล้วจะใช้ไสยศาสตร์มาใช้ในทางที่ชั่วร้าย โดยเฉพาะการทำ "คุณไสย" ที่เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายผู้ไม่เป็นมิตรด้วยการปลุกเสกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าไปในตัว หรือฝังรูปฝังรอย หรือการทำเสน่ห์ยาแฝด ลงนะ จากผู้ที่อ้างตัวว่ามีอาคม ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ทำมาหากินด้วยการหลอกลวงผู้คน หรือที่เรียกว่า พวกสิบแปดมงกุฎ ถึงกระนั้นก็ตาม“คุณไสย” หรือ “มนต์ดำ” ยังมีผู้หลงงมงายมากมาย

                    ไสยศาสตร์ถือเป็นศาสตร์ที่ลี้ลับมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และมีทั่วโลกแม้กระทั่งในเวลาปัจจุบัน แม้รูปแบบจะแตกต่างกัน แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การทำอันตรายต่อผู้คนด้วยวิธีที่ลี้ลับ
                    ลัทธิไสยศาสตร์ คือการรวมอำนาจจิต รวมพลังงานทางจิตซึ่งได้ทำการอบรมจิตใจให้มีความยึดมั่น เชื่อถือ อย่างจริงจัง ดำเนินไปตามหลักทางไสยศาสตร์ ตามวิธีการนั้น ๆ ก็จะสามารถแสดงฤทธิ์ปาฎิหารย์ได้ด้วยกระแสคลื่นแห่งพลังอำนาจจิตอันแรงกล้า ของ มโนภาพ สมาธิ จิตตานุภาพ ทั้งสามประการนี้ จึงเป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจที่ประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นได้
                    ลัทธิไสยศาสตร์ ได้เกิดขึ้นมาก่อนพุทธกาล ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไตรเพท ในลัทธิของพราหมณ์ ได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ
                          1. ฤคเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์และสรรเสริญพระเจ้า
                          2. ยชุรเวทย์ เป็นคำร้อยแก้วให้สำหรับท่องบ่นเวลาบวงสรวงบูชาพระเจ้า
                          3. สามเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม
                          4. อาถรรพเวทย์ เป็นคัมภีร์ประกอบด้วยเวทยมนต์คาถาเรียกผีสาง เทวดาให้ช่วยป้องกันอันตรายให้ และให้มีการแก้อาถรรพ์ ทำพิธีสาปแช่งให้เป็นอันตรายได้ด้วย
                    อาถรรพเวทย์ในคัมภีร์ไสยศาสตร์ แยกออกเป็น 2 นิกาย คือ
                          1. นิกายไสยขาว (White System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางดี คือช่วยเหลือมนุษย์ให้มีสุขปลอดภัย
                          2. นิกายไสยดำ (Black System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางชั่ว คือทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น
                     คัมภีร์แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ทางเวทมนตร์ คาถาอาคม  ของนิกายไสยขาว มี 8 ประเภท คือ
                          1. พระเวทย์แก้โรคต่าง ๆ
                          2. พระเวทย์ประสาน
                          3. พระเวทย์สะเดาะ เช่น สะเดาะกุญแจและโซ่ตรวน
                          4. พระเวทย์ป้องกันตัว เช่น คาถาแคล้วคลาด
                          5. พระเวทย์แสดงปาฎิหาริย์
                          6. พระเวทย์ทำอันตรายผู้อื่น
                          7. พระเวทย์แก้ภูติผีปีศาจ เช่น คาถาสะกดวิญญาณ
                          8. พระเวทย์ทำเสน่ห์ เช่น มนตร์เทพรำจวญ
                    หลวงพ่อสังข์ วัดนากันตม นั้น  เชื่อกันว่า ท่านเรียนวิชาไสยศาสตร์ มาจนเชี่ยวชาญแทบเรียกได้ว่าจบหลักสูตร ท่านน่าจะเก่งพระเวทย์ทั้ง 8 ประเภท แต่เอาที่เห็นกันจะจะสักประเภทหนึ่งที่พระอาจารย์บุญมี ได้สัมผัสมาแล้ว และ เล่าให้ผู้เขียนฟัง คือ ประเภทที่ 8 เช่น วิชาพระเวททำเสน่ห์ วิชาฝังหุ่น เป็นต้น

                                          วิชาฝังหุ่น
                     ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อสังข์ ลงมากรุงเทพฯ มาพักที่วัดสระเกศ กุฎิของ พระอาจารย์บุญมีเช่นเคย ช่วงนั้นหลวงพ่อมีชื่อเสียงมากแล้ว พวกลูกศิษย์ที่เป็น คหบดี นายทหาร นายตำรวจ  นายแพทย์ใหญ่ ๆ คุณหญิง คุณนาย ทั้งหลาย ต้องคอยฟังข่าวว่าหลวงพ่อลงมากรุงเทพ ฯ หรือยัง ถ้ามาแล้วก็จะมาพบที่กุฎิพระอาจารย์บุญมี เพื่อให้รดน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา ลงกระหม่อม ปรึกษาหารือเรื่องราว ต่าง ๆ เช่น หาฤกษ์ยามยามดีปลูกบ้าน ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน รวมทั้งขอบูชา วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง เป็นต้น
                    พระอาจารยบุญมี เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งมีคุณนายของนายพลตำรวจท่านหนึ่ง มาให้หลวงพ่อทำพิธีเรียกให้สามีกลับมาอยู่ด้วยกัน เนื่องจากช่วงนั้น สามีไปมีภรรยาน้อย และหลงภรรยาน้อยอย่างหนักแทบจะไม่กลับมาบ้านเอาเสียเลย ถ้ากลับมาก็หน้าตาเศร้าหมอง หงุดหงิดง่าย พอทะเลาะกัน ก็พาลหาเรื่องออกจากบ้านไปอยู่กับภรรยาน้อยอีก เธอร้องห่มร้องไห้อย่างหนักกลัวว่าจะเสียสามีไป หลวงพ่อสงสารจึงรับปากว่าจะช่วย และ ให้คุณนายเขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดของตนเองและสามีทิ้งเอาไว้ ยังไม่สามารถทำพิธีในวัน นั้นได้ เพราะต้องเตรียมอุปกรณ์สำคัญที่จะใช้ประกอบพิธี 3 อย่างก่อน คือ
                    1. ขี้ผึ้งปิดหน้าผี  อันว่าขี้ผึ้งปิดหน้าผีนั้น ในสมัยก่อนเมื่อมีคนเสียชีวิตโดยเฉพาะผีตายโหงซึ่งเสียชีวิตผิดธรรมชาติ เช่น ประสพอุบัติเหตุถูกรถชนหรือรถคว่ำตาย ถูกยิงตาย ฟ้าผ่าตาย เป็นต้น การเสียชีวิตลักษณะนี้ สภาพของศพจะไม่น่าดู ตามชนบทที่ห่างไกล ไม่มีหมอที่จะแต่งหน้าศพก่อนบรรจุหีบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอุจาดตา  เขาก็จะนำขี้ผึ้งมาโป๊ะหรือมาพอกหน้าศพเอาไว้ เขาจึงเรียกว่า ขี้ผึ้งปิดหน้าผี เมื่อสัปเหร่อจะทำการเผาเขาจึงจะทำการแกะออกมา
                    2. ใบรัก ใบรักที่จะใช้ประกอบพิธีนั้น จะต้องเป็นใบรักซ้อน ห้ามใช้ใบรักลา ใบต้นรักที่เขาปลูกซึ่งมีดอกเป็นสีขาวและสีม่วงที่เขานำดอกมาร้อยเป็นพวงมาลัยนั้นใช้ไม่ได้ เพราะนั่นเป็นรักลา จะต้องใช้ใบของต้นรักที่ดอกจะมีลักษณะของกลีบดอกซ้อนกันหลายชั้น ซึ่งเขาเรียกกันว่าดอกรักซ้อนเท่านั้นจึงจะใช้ได้
                    3. ด้ายสายสิญจน์  ต้องเป็นด้ายสายสิญจน์ที่ใช้จูงศพ หรือ ใช้ในพิธีศพ
                   หลวงพ่อใช้เวลาเตรียมอุปกรณ์นานพอสมควร เนื่องจากหาขี้ผึ้งปิดหน้าผีของแท้ยาก มีคนเอาของปลอมมาให้ หลวงพ่อก็ทราบ เมื่อหาได้ครบแล้ว หลวงพ่อก็เตรียมอุปกรณ์โดยใช้ขี้ผึ้งปั้นหุ่น 2 ตัว เป็นหญิงและชาย จากนั้น ก็นำใบรักซ้อนมาเขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดของคุณนาย และ สามี ติดไว้ที่หุ่น อย่างละใบ และ ก็รอฤกษ์ยามที่จะทำพิธีซึ่งหลวงพ่อบอกว่า จะต้องทำพิธีเวลากลางคืนดึกสงัดเท่านั้น
                   และแล้วในคืนวันหนึ่ง พระอาจารย์บุญมี เข้าห้องจำวัดตามปกติ ตกกลางดึกต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงสวดมนต์ที่ยาวนานและดังพอสมควร ฟังไปสักระยะหนึ่งจึงลุกขึ้นมาเพื่อจะไปปัสสาวะ จึงได้เห็นหลวงพ่อสังข์กำลังทำพิธีสวดมนต์และมีหุ่นขี้ผึ้งทั้งสองตัววางอยู่ข้างหน้า จากการสังเกตุ ของพระอาจารย์บุญมี เห็นว่าหุ่นทั้งสองตัววางอยู่ห่างกันประมาณ 1 ฟุตไม้บรรทัด เมื่อออกไปปัสสาวะเสร็จแล้วพระอาจารย์บุญมี กลับเข้ามาในห้องจึงถือโอกาสนั่งลงข้าง ๆ เพื่อดูหลวงพ่อทำพิธี และแล้วสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า ทำให้พระอาจารย์บุญมีถึงกับตกตะลึงและตื่นเต้นมาก โดยไม่คาดคิดว่า วิชาอาคมของหลวงพ่อจะแก่กล้ามากถึงขนาดนั้น เนื่องจากในขณะที่หลวงพ่อสังข์หลับตาสวดมนต์มิได้หยุดอยู่นั้น เจ้าหุ่นทั้งสองตัวกระดอนจากพื้นไม้กระดานขึ้นลงเป็นจังหวะและค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าหากัน พระอาจารย์บุญมี อธิบายให้เห็นภาพว่า เหมือนเราขึ้นไปนั่งขย่มบนแคร่ไม้ไผ่ แล้วสิ่งของเล็ก ๆ ที่วางบนแคร่กระดอนขึ้นลงอย่างนั้น จนในที่สุด หุ่นทั้ง 2 ตัว ก็เคลื่อนเข้ามาจนติดกัน หลวงพ่อสังข์ จึงหยุดสวดมนต์ และ ลืมตาขึ้น เสร็จแล้วหลวงพ่อจึงนำด้ายสายสิญจน์มาผูกหุ่นทั้งสองโดยพันรอบตัวหุ่นหลายรอบโดยหันหน้าเข้าหากันและมัดติดกันจนแน่น ในขณะที่มัดหุ่นก็เสกคาถาไปด้วยจนเสร็จพิธี ต่อมาในเช้ามืดวันนั้น หลวงพ่อสังข์ สั่งให้พระอาจารย์บุญมี นำหุ่นทั้งสองที่มัดติดกันอย่างแน่นหนาไปฝังดินไว้ แต่เนื่องจากวัดสระเกศไม่ค่อยจะมีบริเวณที่เป็นพื้นดินมากเท่าไรนักพระอาจารย์บุญมีจึงนำไปฝังไว้ข้างกุฏิของพระมหาอะไร ผมก็จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว หลวงพ่อจึงให้พระอาจารย์ส่งข่าวให้คุณนายทราบ ว่าทำพิธีให้แล้ว เดี๋ยวสามีก็คงจะกลับมาแน่นอน อีกต่อมาไม่นาน คุณนายก็มากราบหลวงพ่อ มาถวายเพล ดูหน้าตาสดชื่น บอกว่าท่านนายพลสามีกลับมาแล้ว ขอขอบคุณหลวงพ่อมากที่ช่วยเหลือ  หลวงพ่อก็อนุโมทนา คุณนายก็กลับไป 
                    หลังจากนั้นสักประมาณ 5 - 6 เดือน  หลวงพ่อสังข์ กลับขึ้นไปวัดนากันตม จังหวัดศรีสะเกษแล้ว คุณนายก็มาที่กุฏิพระอาจารย์บุญมีอีก เล่าให้ฟังว่า ท่านนายพลกลับไปหาภรรยาน้อยอีกแล้ว คราวนี้ไม่กลับมาบ้านเลย จะมาขอให้หลวงพ่อสังข์ ช่วยอีกครั้ง ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น วันหนึ่ง พระอาจารย์บุญมี สังเกตุเห็นสุนัขมันคาบสิ่งของอยู่ในปากมีเชือกสีขาวคล้ายด้ายสายสิญจน์ลากเป็นทางยาว  พอไล่มัน มันจึงคายของในปากจึงเห็นว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้งที่หลวงพ่อสังข์ ให้ไปฝังไว้นั่นเอง สภาพที่เห็น หุ่นหักกลางแยกออกเป็นสองท่อน มีด้ายสายสิญจน์พันรอบอยู่และเห็นเพียงแค่ตัวเดียว อีกตัวหนึ่งไม่รู้ว่าหลุดหายไปไหน เมื่อตามไปดูที่จุดฝัง เห็นมีต้นฝรั่งปลูกอยู่แทนที่ สอบถามได้ความว่า พระมหาขุดหลุมปลูกต้นฝรั่งตรงจุดที่ฝังหุ่น ทำให้หุ่นถูกขุดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจและสุนัขเห็นจึงคาบไปเล่นกระจุยกระจาย ขณะนั้น พระอาจารย์บุญมี เห็นสภาพหุ่นแล้วรู้สึกใจหายแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร และแล้วไม่นาน คุณนายก็มาจริง ๆ พอพระอาจารย์บุญมี บอกว่าหลวงพ่อสังข์กลับไปศรีสะเกษแล้ว คุณนายก็ยืนยันว่าจะไปพบให้ได้ ขอให้บอกชื่อวัดและเส้นทางที่จะไปวัดให้ด้วย จะให้ตำรวจลูกน้องของนายพลพาไป  ดูท่าทางคุณนายจะศรัทธาหลวงพ่อจริง ๆ ว่าจะช่วยได้ 
                   หลังจากนั้นก็ไม่เห็นคุณนายมาพบอีกเลย พอเจอหลวงพ่อสังข์ ก็เลยสอบถามเรื่องนี้  หลวงพ่อสังข์ บอกว่า คุณนายให้ตำรวจพาไปหาที่วัดนากันตมขอร้องหลวงพ่อให้ทำพิธีให้ใหม่  คราวนี้ หลวงพ่อให้เอาหุ่นไปฝังไว้ที่ป่าช้าเลยทีเดียว และ หลังจากนั้นก็หายเงียบไปเลย คงจะสำเร็จสมใจคุณนายแล้ว

                 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น